Translate

Monday, December 30, 2013

ของฝากจากการไปท่องต่างแดน (เวียตนามเหนือ) - ตอนที่ 1

พอดีเมื่อต้นเดือนธันวาคมนุชได้มีโอกาสไปเที่ยวต่างแดนค่ะ เราไปเที่ยวส่วนตัวเองนะ ก็คือเราไปเป็น tourist หรือ traveler แต่ถ้าเราไปเที่ยวหรือไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน เราก็จะเป็น expatriate หรือย่อๆว่า expat ภาษาไทยก็คือ คนที่อาศัยอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน คำอีกคำที่คล้ายๆกันก็คือ expedition หมายถึง การเดินทางเพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่ง(จะออกแนวทางการ) แต่จะไม่ได้ใช้กับการ backpacking ชิลด์ๆของเราแบบนี้ อีกคำที่หน้าตาคล้าย expatriate กับ expedition ก็คือ expedite แต่คำนี้แปลว่า เร่งหรือทำให้เร็วขึ้นค่ะ

นอกเรื่องซะยาว ขอวกกลับเข้ามาที่เดิม

ใครที่ชอบท่องเที่ยว คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ป้ายต่างๆเป็นสิ่งสำคัญที่เอาไว้บอกสถานที่ โดยเฉพาะป้ายห้องน้ำ บางประเทศถึงกับควรศึกษาคำว่าห้องน้ำของภาษานั้นก่อนไปเลยทีเดียว

ตอนนุชไปเที่ยวเวียตนามเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ได้ไปชมสุสานและพิพิธภัณฑ์โฮจิมินท์ ตอนแรกหาห้องน้ำไม่เจอ โชคดีที่พี่สาวเห็นป้ายคำว่า WC พอดี เลยบอกว่านี่แหละคือห้องน้ำ พอดีพี่สาวเคยเรียนภาษาเยอรมันแล้วบอกว่าก็ได้เรียนคำนี้ แปลว่าห้องน้ำ เราเลยรอดชีวิตไป

ขอบอกว่าตั้งแต่เกิดมา ก็เพิ่งจะรู้ว่าคำว่าห้องน้ำมีใช้คำนี้ด้วย เท่าที่เคยเห็นประเทศอื่นใช้ก็อย่างเช่น อเมริกาจะใช้ restroom หรือ bathroom หรืออย่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในระบบบริติช ก็จะใช้ toilet อีกคำหนึ่งที่เห็นบ่อยๆบนเครื่องบินก็คือ lavatory (ส่วนตัว)ไม่ค่อยเห็น WC เลย (รายละเอียดอ่านเพิ่มเติมได้ใน http://english-is-all-around.blogspot.com/2013/06/blog-post_21.html)

 รูปฝากพี่ที่ไปด้วยถ่ายป้ายให้ แต่ดันติดเรามาโดยบังเอิญ หุหุ

แล้ว WC ทำไมถึงใช้แทนคำว่าห้องน้ำล่ะ?? คืออย่างนี้ค่ะ WC ย่อมาจาก Water Closet ก็คือ ห้องที่มีน้ำนั่นเอง ซึ่งคำนี้ใช้กันในประเทศอังกฤษและประเทศในแถบยุโรปบางประเทศค่ะ (เราไม่เคยไปอังกฤษเลยไม่ทราบว่าเขาใช้คำไหนมากกว่ากันระหว่าง WC กับ toilet)



หมวกฝากจากเวียตนามค่ะ


คำอีกคำหนึ่งที่มีความหมายว่าห้องน้ำที่ใช้กันในภาษาพูด(ไม่เป็นทางการ) ก็คือคำว่า loo นอกจากนี้ก็มีคำแสลงอื่นๆที่แปลว่าห้องน้ำอีกด้วย หากอยากรู้เพิ่มเติม สามารถเข้าไปอ่านได้ที่หน้าเพจ http://www.users.waitrose.com/~ttagrevatt/vlav/words.html ส่วนตัวตอนไปล่องเรือชม Halong Bay ที่เวียตนาม ไกด์ใช้คำว่า Happy room แทนคำว่าห้องน้ำค่ะ ซึ่งพอพูดออกมา เราก็พอจะเดาได้ว่าพี่แกหมายถึงห้องอะไร :)

ขอนอกเรื่องนิดหนึ่ง มีเรื่องเล่าว่า สาเหตุที่ใช้คำว่า loo เรียกห้องน้ำก็เพราะว่า สมัยก่อน ห้องน้ำมักจะถูกจัดไว้ที่ห้องเบอร์ 100 ซึ่งตัวเลขนี้ พออ่านเป็นภาษาอังกฤษ ก็เหมือนคำว่า loo นั่นเอง จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ แต่เก็บมาให้อ่านเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆละกันนะคะ

เรื่องของห้องน้ำนี่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร จริงๆแล้วห้องน้ำมีเรื่องราวหรือประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่น่าสนใจและบางครั้งเราคิดไม่ถึงเลยทีเดียวนะ ใครที่สนใจอาจจะไปหาอ่านได้ใน Facebook ที่ชื่อ Interpoo (https://www.facebook.com/interpoobangkok) ไม่ได้รู้จักเจ้าของเพจเป็นการส่วนตัวและไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ แต่พอดีไปอ่านแล้วได้รับความรู้ดีๆเลยอยากมาแบ่งปัน

ครั้งหน้าจะขอมาแชร์ของฝากจากการไปเวียตนามต่อนะคะ อย่าลืมติดตามกันต่อนะ ยังไม่จบ ^^

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

References:
http://en.wikipedia.org/wiki/Toilet
http://uk.answers.yahoo.com/question/index?qid=20060802123452AAuwVEd
http://kottke.org/05/02/loo-etymology

Tuesday, November 26, 2013

เก่งภาษาอังกฤษจากซีรีส์ (ตอนที่ 2) - Paraphrasing

ตอนที่แล้ว http://english-is-all-around.blogspot.com/2013/11/1.html เราพูดกันถึงเรื่อง ประโยชน์ของการดูซีรีส์ทำให้เราได้เข้าใจและระวังการเลือกใช้ tense เพื่อสื่อความหมายให้ถูกต้อง ครั้งนี้จะขอกล่าวถึงอีกประโยชน์นึงของการดูซีรีส์ละกันนะคะ

ตอนที่แล้ว นุชได้พูดถึงซีรีส์เรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า Ghost Whisperer ซีรีส์เรื่องนี้ นางเอกจะเป็นคนที่่คอยช่วยเหลือวิญญาณที่ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกนี้ด้วยความกังวลหรือแค้นอะไรซักอย่าง ซึ่งการที่นางเอกจะทำให้วิญญาณเหล่านี้ไปผุดไปเกิด (cross over) ก็จะต้องคอยเป็นสื่อกลางพูดคุยระหว่างวิญญาณนั้นกับคนที่เค้ายังติดค้างอยู่ เช่น ญาติพี่น้อง พ่อแม่ หรือคู่แค้น ฯลฯ ดังนั้น สิ่งที่นางเอกต้องทำก็คือการฟังคำพูดจากวิญญาณนั้น แล้วพูดออกมาให้บุคคลนั้นฟัง (ก็เนื่องจากว่า นางเอกมีความสามารถพิเศษในการสื่อสารกับคนตาย) ดังนั้นสิ่งที่นางเอกทำก็คือการถ่ายทอดข้อความ หรือ paraphrasing



Paraphrase คืออะไร เนื่องจากคำนี้ไม่มีคำแปลในภาษาไทยที่มีตรงตัว จึงต้องขออธิบายว่า หมายถึง การนำคำพูดหรือความคิดจากคนอื่นมาเปลี่ยนให้เป็นคำพูดในสไตล์เราแต่ยังคงความหมายหรือไอเดียเดิมไว้ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการแปลจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่งนะคะ แต่เป็นการเปลี่ยนลักษณะของคำที่ใช้โดยยังคงความหมายเดิม(ในภาษาเดิม)

ตัวอย่างเช่น

Nick is a butcher. ก็อาจจะ paraphrase ได้เป็น Nick makes a living by selling meat.

อีกประโยคหนึ่ง   Anne is Peter's mother.  ให้คิดเล่นๆว่าจะ paraphrase ได้ว่าอะไรบ้าง ..... ติ๊กต่อก..... เอาละ ขอเฉลยละกัน  Peter is a son of Anne. หรือได้เป็น Anne gave birth to Peter. ซึ่งทั้งสามประโยคให้ความหมายเดียวกัน (อาจจะมีประโยคที่แตกต่างจากนี้ แต่ถ้าได้ความหมายคงเดิม ก็ไม่ผิดแต่ประการใด)

หลายคนอาจจะสงสัยว่า มี paraphrase ไปเพื่ออะไร ลองสังเกตประโยคข้างบนเมื่อครู่นี้ดู จะพบว่า การ paraphrase ทำให้ภาษามีลูกเล่นมากขึ้น สามารถพลิกแพลงได้หลากหลาย จัดว่าเป็นศิลปะในการใช้ภาษาอย่างหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้คนอ่านหรือคนฟัง ไม่เบื่อในสิ่งที่เราพูดหรือเขียน นอกจากนี้เรายังพลอยได้เรียนรู้คำศัพท์เพิ่มขึ้นอีกด้วย (ในภาษาไทยก็มี เช่น แทนที่จะพูดว่า คนเราจะมีคนรักหรือเกลียดก็ขึ้นอยู่กับคำพูด ก็ paraphrase เป็น เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา (สุนทรภู่)- เห็นมั๊ยคะ ดูมีศิลปะขึ้นตั้งเยอะ) 



ตัวอย่างเช่น If we work together, we will finish the job successfully.  ก็สามารถ paraphrase ได้ว่า Our collaboration makes us accomplish the job prosperously. จะสังเกตได้ว่า หากเราพยายามฝึก paraphrase จะทำให้เราค้นคว้าหาคำศัพท์ใหม่ๆที่ความหมายเหมือนกัน อย่างในประโยคที่ว่ามา แทนที่เราจะเขียนว่า work together เราก็ใช้ว่า collaborate หรือคำว่า successfully ก็เปลี่ยนเป็น prosperously ประโยคเราก็จะดูดีขึ้น (แอบไฮโซขึ้นนะเนี่ย ^o^)

นอกจากนี้ประโยชน์ของการ paraphrase ก็คือ เป็นการเปลี่ยนคำพูด โครงสร้างประโยค เพื่อจะได้ไม่เป็นการลอกเลียนแบบผลงานเขียนหรือคำพูดคนอื่นมา (เป๊ะๆ) ภาษาปะกิดเรียกว่าเป็นการขโมยผลงาน (Plagiarism) ซึ่งประโยชน์ของการ paraphrase ในข้อนี้ นักศึกษาที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศจะรู้ดีทีเดียว โดยเฉพาะถ้าจะไปเรียนต่อประเทศทางแถบอเมริกา เพราะเค้าค่อนข้างซีเรียสในเรื่องการขโมยผลงานมากค่ะ ดังนั้นหากใครยากจะไปเรียนต่อ ก็ฝึกๆไว้นะคะ ไม่เสียหลาย ตรงกันข้าม ทำให้เราเก่งภาษามากขึ้นด้วย สำหรับใครที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ Perdue University ที่ https://owl.english.purdue.edu/owl/owlprint/619/

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

ขอบคุณรูปภาพจาก
http://ulovesomethingmore.com/2013/04/gossip-going-going-gone/

Tuesday, November 5, 2013

เก่งภาษาอังกฤษจากซีรีส์ (ตอนที่ 1) - Tenses

เคยได้ยินหลายๆคนพูดว่า ชอบดูซีรีส์ บางคนก็ดูเพื่อความบันเทิงอย่างเดียว แต่บางคนก็ได้ภาษาขึ้นมาเป็นผลพลอยได้ ใช่ค่ะ การดูซีรีส์ก็เป็นวิธีการเรียนภาษาอังกฤษวิธีหนึ่งที่สนุกและก็ได้ซึมซับภาษาไปในตัวด้วย (เว้นแต่ว่าคุณจะดูเป็นพากษ์ไทย หรืออ่านคำบรรยายภาษาไทยตลอดเวลา อันนี้ก็อาจจะได้ไปแต่ความบันเทิงนะคะ)

เอาล่ะ ถ้าเราอยากได้ภาษา เราต้องอย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับมัน บางคนกลัวว่าจะฟังไม่ออกแล้วดูไม่รู้เรื่อง เชื่อเถอะค่ะ ว่าคนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาต้องมีความกลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะพุ่งเข้าหามันหรือเปล่า เท่านั้นเอง




ลองคิดดูสิว่า เด็กแลกเปลี่ยนหรือคนที่ไปทำงานต่างประเทศเป็นครั้งแรก ต่างก็ต้องมีความหวาดกลัวในเรื่องภาษาอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาได้ตลอดไป ในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน ซึ่งคนเหล่านี้อยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับให้ต้องพูดต้องใช้ภาษาอังกฤษ พวกเขาถึงได้ภาษาไงล่ะคะ ทีนี้ถ้าเราอยากจะได้ภาษา เราก็ต้องฝึกบังคับตัวเอง ให้พยายามฟัง พยายามคิดตามในสิ่งที่เราได้ยินมา เพื่อที่เราจะได้จำสำนวนประโยคต่างๆได้ ดังนั้นอย่าไปกลัวที่จะฝึกค่ะ

ซีรีส์หรือหนังบางเรื่องนอกจากจะทำให้เรามีอารมณ์คล้อยตามตัวละครแล้ว ยังทำให้เราฉุกคิดขึ้นได้ว่า เออเนอะ ภาษาอังกฤษมีการใช้แบบนี้ด้วย ซึ่งนอกจากคำศัพท์หรือสำนวนภาษาใหม่ๆที่เราได้เพิ่มพูนแล้ว ยังเป็นการทบทวนหลักไวยากรณ์บางอย่าง ที่ถึงแม้จะดูพื้นฐานแต่เรามักใช้กันผิด ให้เราฉุกคิดก่อนเลือกใช้อันที่เหมาะสมอีกด้วย

นุชเองเคยดูซีรีส์อยู่เรื่องหนึ่ง ชื่อว่า Ghost Whisperer นำแสดงโดย Jennifer Love Hewitt และ David Conrad สองคนนี้เคมีเข้ากันมากๆค่ะ อิอิ...ไม่ใช่ละ - -"  คือจะบอกว่า เรื่องนี้ดูจะเป็นเกี่ยวกับแนวผีๆก็จริง แต่เนื่องจากเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับคนตายและเนื่องจากพระเอกมีอาชีพเป็น paramedic หรือ เจ้าหน้าที่กู้ชีพ ทำให้คนดูได้คำศัพท์ทางการแพทย์ไปบ้าง นอกจากนี้แล้วยังได้คำศัพท์และสำนวนภาษาที่ใช้กันในภาษาอังกฤษทั่วไปอีกด้วย




อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจจากการดูซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ การใช้ tense ที่โดยปกติภาษาพูดเราอาจจะพูดผิดพูดถูกบ้าง ฝรั่งก็เข้าใจ แต่กรณีอย่างในเรื่องนี้ ความหมายเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลยนะคะ ตัวอย่างเช่น สมมตินาย A ตายไปแล้ว และนางเอกกำลังคุยกับนาย B ซึ่งเป็นญาตินาย A อยู่ แล้วจู่ๆ วิญญาณของนาย A ก็โผล่มา ในเรื่องนางเอกจะเป็นคนที่เห็นผี ทีนี้นางเอกก็บอกกับนาย B ว่า He is here with us. นาย B ก็ตกใจ (พลางคิดในใจว่า นายเอตายไปแล้ว จะมาอยู่กับเราตอนนี้ได้ยังไง) จึงตอบไปว่า You mean he was [with us here]. คือนาย B จะสื่อว่า แกพูดผิดชิมิ จะบอกว่าเค้าเคยอยู่ที่นี่ล่ะสิ ปรากฏนางเอกบอกว่า He is. ยืนอยู่นี่ ตรงนี้แหละจ้า เงาตะคุ่มๆตรงนี้เลย แล้วก็อธิบายกันไปตามเรื่อง ว่านายเอมาเพื่อจะบอกลาไปเกิดใหม่อะไรก็ว่ากันไป

เห็นมั๊ยคะ บางทีการใช้ tense ผิด ทำให้ความหมายเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลย ตัวอย่างที่ว่ามานี้


He was  here with us. กับ He is here with us. 

เป็นประโยคที่ไม่มีคำบอกเวลาด้วย ยิ่งทำให้งงกันไปใหญ่เลยว่าพูดผิดรึเปล่า ถ้าประโยคอย่างที่ยกมาจะทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาจจะเพิ่มคำว่า right now เป็น He is here with us right now. เพื่อที่ว่า ถ้าดันพูดผิดจริงๆ ก็ยังเข้าใจความหมายได้ตรงกัน เช่นเราจะบอกเพื่อนฝรั่งว่า เมื่อวานไปเที่ยวช้อปปิ้งมา ถ้าเราพูดผิดว่า Yesterday I go shopping. (จริงๆต้อง Yesterday I went shopping.) เพื่อนต่างชาติก็ยังคงเข้าใจว่าหมายถึงอดีต คือเมื่อวานนั่นเอง

พอหอมปากหอมคอกันแค่นี้ก่อนนะคะ ติดตามต่อตอนที่ 2 กันได้นะคะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

อ้างอิง
Ghost Whisperer

Monday, September 23, 2013

ประโยคกำกวมฝึกให้เราคิดไปเรื่อย (แบบวิเคราะห์)

ปกติเวลาเราอ่านอะไรก็ตาม เราก็ต้องคิดตามไปด้วยใช่มั๊ยคะ ทีนี้การคิดของเราในการอ่านแต่ละครั้ง ก็จะลึกซึ้งต่างกัน ถ้าเราอ่านเรื่องบันเทิง เราก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อ่านเอาพอสนุก แต่ถ้าเป็นเรื่องที่หนักหน่อย เราก็อาจจะคิดหนักขึ้นหรือละเอียดขึ้น เพื่อจับประเด็น (อย่างเช่น การอ่านหนังสือสอบ หรืออ่านเพื่อเอาไปต่อยอดทำงาน เป็นต้น) 

แต่บางครั้งต่อให้เป็นเรื่องที่เบาสมอง ถ้าสำนวนภาษาสามารถตีความได้มากกว่าหนึ่งความหมาย ก็อาจจะทำให้คนอ่านอย่างเราๆงงได้ ประโยคกำกวมเหล่านี้นอกจากจะทำให้เรางงกับเนื้อหาแล้วยังทำให้เสียเวลาในการหาคำตอบว่าจะสื่อถึงความหมายอะไรกันแน่ มาลองดูตัวอย่างประโยคต่อไปนี้กันดีกว่า

He likes me more than you.

ประโยคนี้แปลว่าอะไรคะ

หลายคนอาจจะบอกว่า ง่ายจะตาย ก็แปลว่า เขาชอบฉันมากกว่าคุณ ลองดูใหม่นะคะ ตกลงมันแปลว่า เขาชอบฉันมากกว่าที่เขาชอบคุณ หรือ เขาชอบฉันมากกว่าที่คุณชอบฉัน กันแน่ ลองมาดูการถอดความหมายภาษาอังกฤษของประโยคกัน He likes me more than he likes you. หรือ He likes me more than you does. กันเอ่ย สองประโยคนี้ ความหมายต่างกันแน่นอนค่ะ

ถ้าลองดูประโยคแรก He likes me more than he likes you. I จะมีเพศเดียวกันกับ you  แต่ถ้าประโยค He likes me more than you does. he กับ you จะเป็นเพศเดียวกัน (ไม่ขอระบุเพศละกัน เดี๋ยวนี้มีหลากหลาย เดี๋ยวจะหาว่าจำกัดกันเกินไป) ดังนั้นประโยคนี้ที่ดูเหมือนจะแปลความหมายได้ง่ายๆ แต่จริงๆแล้ว สื่อความออกมาไม่ชัดเจน เลยไม่รู้ว่าตกลงใครชอบใครมากกว่ากัน ดังนั้นถ้าจะทำประโยค He likes me more than you. ให้ชัดเจน ก็ควรเขียนว่า He likes me more than he likes you. หรือ He likes me more than you does. 




มาดูประโยคนี้กันต่อ

I want Melissa to go there with me instead of Jennifer.

งงไหมคะ ว่าสรุป ฉันต้องการให้ Melissa ไปกับฉันแทนที่ Melissa จะไปกับ Jennifer หรือ ฉันต้องการให้ Melissa ไปกับฉัน ไม่ใช่ Jennifer ไปกับฉัน (อ่านดีๆนะคะ ไม่งั้นจะงงได้ง่าย) ดังนั้นถ้าประโยคตีความได้สองทางแบบนี้ เราก็ต้องเรียบเรียงใหม่ให้ชัดเจนขึ้นค่ะ

I want Melissa to go there with me instead of going there with Jennifer. หรือ I want Melissa, instead of Jennifer, to go there with me.


คำบางคำก็สื่อความหมายได้ไม่ชัดเจนในตัวเองนะคะ เช่น Mr. Mathieu is our new French teacher. คำว่า French teacher อาจจะแปลว่าเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศส (ซึ่งอาจจะเป็นคนชาติอื่น เช่น แคนาเดียน) หรืออาจจะแปลว่าเป็นครูที่มาจากประเทศฝรั่งเศส (แต่สอนวิชาอื่น) ก็ได้ ดังนั้นถ้าต้องการสื่อความหมายให้ชัดเจน อาจจะพูดว่า 

Mr. Mathieu is our new teacher who will teach French. หรือ Mr. Mathieu is our new teacher who comes from France.

หรือประโยคนี้ที่ว่า

He gave her cat food.

เขาให้อาหารกับแมวของเธอ หรือ เขาเอาอาหารแมวให้เธอ (เป็นไปได้ว่าเธอฝากซื้ออาหารแมว คงไม่ได้หมายความว่า เธอมีรสนิยมแปลกๆ ชอบรับประทานอาหารแมว - ผู้เขียน) ประโยคนี้ก็กำกวมค่ะ ดังนั้นประโยคควรนำมาเรียบเรียงใหม่

He gave her cat some food. หรือ He gave cat food to her. 

ประโยคที่เรียบเรียงใหม่ที่ยกตัวอย่างมาให้ดู อาจจะเรียบเรียงแบบอื่นก็ได้นะคะ เพียงแต่ขอให้สื่อความหมายได้ความหมายเดียวและชัดเจน เพื่อผู้อ่านหรือผู้ฟังจะได้ไม่เข้าใจผิดค่ะ

ในฐานะนักอ่าน ถ้าเราเริ่มงงกับเนื้อเรื่อง ก็ลองวิเคราะห์ดูว่า เราสามารถจะแปลความหมายเป็นแบบอื่นได้หรือไม่ ซึ่งถ้าเราฝึกการวิเคราะห์ตรงนี้จนเคยชิน เราก็จะมีความรอบคอบในการใช้ภาษามากขึ้น เห็นไหมคะว่า การเจอประโยคกำกวมบ่อยๆ ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียอย่างเดียว ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์แล้ว เราก็จะมีความสามารถในการแปลจากการอ่านได้หลายมุมมากขึ้น หรือแม้แต่ถ้าเราจะเป็นคนเขียนหรือคนเรียบเรียงประโยคเอง เราก็จะได้ข้อเตือนใจจากประโยคกำกวมที่เคยเห็น เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดที่จะสื่อความหมายให้ถูกต้องชัดเจนนะคะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

References:
Reader's Digest: How to Write and Speak Better
http://elicincanan.edublogs.org
http://answers.yahoo.com

Friday, August 23, 2013

เรียนสำนวนภาษาและคำศัพท์จากเพลง

ดั้งเดิมเป็นคนชอบฟังเพลงร็อคค่ะ ซึ่งเพลงร็อคหลายเพลงก็มีเนื้อหาไปในทำนองบอกเลิก/อกหักรักคุด/โดนทิ้ง อะไรแนวนี้ ซึ่งบางทีเนื้อหาอาจจะไม่ได้ตรงกับชีวิตเราเท่าไหร่ แต่ฟังแล้วเพลินดี (ทำนองมันโดนอ่ะค่ะ) ที่สำคัญนะ เราได้ซึมซับ (absorb) คำศัพท์และสำนวนภาษาไปด้วยนะ

เพลงหลายๆเพลงพอกล่าวถึงอดีต ว่าฉันนี่โง่จริงๆเลยที่(เคย)ไปรักเธอ หรืออย่ามาทำให้ฉันดูเป็นคนโง่เลย ก็จะเห็นคำพวก fool, stupid อยู่ในเนื้อร้อง เช่น Stop fooling around. หรือ Stop fooling me. หรือประมาณ Don't treat me like a fool. หรืออาจจะมีทำนองว่าตัวเองว่า stupid girl




ทีนี้ถ้ามาในแนวอกหัก ก็อาจจะเจอคำว่า broken ซึ่งคำนี้นอกจากจะใช้สำหรับความหมายว่า (อก)หัก แบบใน heart broken แล้ว ยังหมายถึง เศร้าเสียใจอีกด้วย เช่น I'm broken. หรือจะแปลว่า เลิกกัน ก็ได้ เช่น We broke up. (สังเกตว่ามี up ด้วย) มีอีกคำหนึ่งก็คือคำว่า torn ที่มีความหมายว่า ขาดออกจากกัน เช่น torn relationship ก็คือ ความสัมพันธ์ขาดสะบั้น คำนี้มีการใช้ในเพลงต่างๆ เช่น เพลง Torn ของ Natalie Imbruglia มีการใช้ว่า I'm torn. โดยปกติ torn (+ between) จะหมายความว่า ลังเล ไม่รู้ว่าจะเลือกทางเลือกไหนดี แต่ในกรณีนี้ อาจแปลได้ว่า I'm broken. หรือ I'm undecided. แนวว่าฉันไม่สามารถตัดสินใจที่จะเลือกได้ (ว่าจะรักเธอหรือจะเลิกกับเธอดี)

ทีนี้บางเพลงก็จะสื่อไปในทำนองว่า เธอหักหลังฉัน หรือเธอปั่นหัวฉัน ก็อาจจะเจอคำว่า "play" ปรากฏอยู่ แม้ว่าโดยปกติ play จะหมายถึงเล่นทั่วๆไป เช่นเล่นกีฬา เล่นเกม แต่ในความหมายนี้ เป็นการเล่นที่ต่างออกไปค่ะ เช่น You played me. เธอปั่นหัวฉัน (สังเกตว่าเป็นอดีต เพราะเปรียบเพลงเหมือนกับการเล่าเรื่องราวในอดีต - ตอนที่ฉันยังตาไม่สว่าง อิอิ) หรืออย่าง Don't play with my heart. (อย่าล้อเล่นกับหัวใจฉัน) บางทีก็อาจเป็น Don't play with the feeling. (อย่าเล่นกับความรู้สึก) เหมือนที่ท่านกวีเชคสเปียร์เคยกล่าวไว้ว่า



อย่าไปเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นเลยค่ะ เพราะเราอาจจะได้ใจเขามา แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราจะสูญเสียคน(ที่สำคัญ)คนนี้ไปตลอดชีวิต

บางทีนอกจากจะใช้ play อาจจะมีการใช้คำอื่นเพื่อสื่อว่า โกหก หลอกลวง อย่าง lie มีเพลงนึงชื่อว่า Your love is a lie. หรืออย่างบางทีก็ใช้ว่า You're a liar. หรืออาจจะใช้คำว่า "pretend" ก็ได้

เพลงบางเพลงก็พูดทำนองว่า ฉันรู้สึกเศร้า หม่นหมองจังเลย ถ้าใช้ I'm sad. ตรงๆก็ดูจะเชยเกินไป (อันนี้คิดเอาเองนะคะ) ก็ต้องสำบัดสำนวนหน่อย ใช้ว่า I feel blue. ดูมีราศีขึ้นเป็นกอง หรือ I'm down. ก็ใช้ได้เลย

บางทีเพลงประเภทนี้ก็จะบอกว่า เรื่องระหว่างเรามันเป็นอดีตไปแล้วนะ tense ต่างๆที่่ใช้บอกเล่าเรื่องราวจึงเป็น Past tense เช่น You were all the things I thought I knew...We were meant to  be, supposed to be, but we lost it. ในเพลง My happy ending ของ Avril Lavigne บางทีก็บอกเพิ่มเติมด้วยว่า มันสายไปแล้วนะ It's too late.




เห็นไหมคะว่าคำๆนึง อาจจะมีความหมายมากกว่าหนึ่งความหมายอย่างที่เราท่องจำกันในสมัยเด็กๆก็ได้ ถ้าเราเสพสื่อ (ขออนุญาตใช้คำนี้นะ) ต่างๆ ก็จะทำให้เราเข้าใจภาษาที่ native speaker พูดกันแบบเป็นธรรมชาติมากขึ้น บางที dictionary แปลอังกฤษเป็นไทยยังไม่มีเลย เราจะเรียนภาษาได้ชำนาญก็ต้องมาจากการขวนขวายเอาเอง ซึ่งการได้จากเพลงก็น่าจะเป็นวิธีการเรียนภาษาที่สนุกไปอีกแบบนะคะ ใครชอบฟังเพลงแนวอะไร ก็ฟังแนวนั้นตามที่เราชอบ ไม่จำเป็นต้องมาฟังเพลงร็อคก็ได้นะ อิอิ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

อ้างอิง
www.cheezburger.com
www.idlehearts.com/
www.youtube.com

Wednesday, August 14, 2013

เรียน Grammar จาก Quote

เนื่องด้วยเป็นคนที่ชอบอ่าน quote หรือคำพูดของคนอื่น (ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดี) อยู่บ่อยๆ ก็เลยทำให้เล็งเห็นว่า นอกจากจะได้ข้อคิด ปรัชญาแล้ว เรายังได้หลักการใช้ภาษา (หรือไวยากรณ์) มาเป็นของแถมด้วยนะ ทำให้เราไม่ต้องไปนั่งท่องตำราที่น่าเบื่อเพื่อให้ได้ความรู้นะ

แน่นอนว่าเราจะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆจากการอ่าน quote แต่ที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือ เราจะได้ซึมซับหลักไวยากรณ์ไปในตัว (ขออนุญาตใช้ภาษาไทยสำหรับคำศัพท์ที่มีในภาษาไทยแล้ว) เวลาที่เราจะใช้พูดหรือเขียนมันก็จะออกมาเป็นธรรมชาติเอง



เริ่มกันที่รูปภาพนี้ละกัน ประโยคหลัก(ใจความสำคัญ) คือ And those were thought to be insane by those. (คนกลุ่มหนึ่งถูกคิดหรือมองว่าเป็นคนบ้าโดยคนอีกกลุ่มหนึ่ง หรือแปลง่ายๆก็คือ คนกลุ่มหนึ่งมองว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นบ้า) และประโยคหลักก็มีส่วนขยายอีกสองประโยคคือ ประโยคส่วนขยายแรก who were seen dancing ซึ่ง who ในที่นี้หมายถึงคนกลุ่มแรกที่ถูกตัดสิน(ว่าเป็นคนบ้า) จากการเต้นร้องรำทำเพลงและประโยคส่วนขยายอีกประโยคคือ who could not hear the music ก็หมายถึงคนกลุ่มที่สอง ที่มองกลุ่มแรกว่าเป็นคนบ้า ซึ่งคนกลุ่มที่สองนี้เป็นคนกลุ่มที่ไม่ได้ยินเสียงดนตรี หรือหมายความประมาณว่าเป็นพวกไม่มีดนตรีในหัวใจนั่นเองค่ะ

จะสังเกตเห็นว่า ถ้าเราอ่านประโยคทั้งประโยคไปรวดเดียว เราอาจจะงงได้ง่ายๆ แต่ถ้าเรามาลองวิเคราะห์ดูว่าประโยคนั้น สามารถแยกย่อยออกมา เป็นประโยคใจความหลัก และประโยคย่อยได้อย่างไรบ้าง ก็จะทำให้เราเข้าใจความหมายมากขึ้นค่ะ เและถ้าเราได้อ่าน quote บ่อยๆ เราก็จะฝึกทักษะการอ่านแบบวิเคราะห์และจับใจความไปได้เอง



ทีนี้มาดูเรื่อง Tense กันบ้าง ดูประโยคหลักก่อน I am who I am today. สังเกตว่าประโยคนี้กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบัน เลยใช้ Present Tense ตรงคำว่า I am และ who I am สังเกตว่า คำว่า today ก็ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าเป็นปัจจุบัน แต่ในส่วนเติมเต็มประโยคด้านหลังที่บอกว่า because of the choices I made yesterday สังเกตว่า เขาใช้คำว่า I made (กริยาช่อง 2 ของ make) เนื่องจากในจะสื่อว่าเป็นการตัดสินใจในอดีต (yesterday) ดังนั้นประโยคนี้ประกอบด้วย 2 tenses ก็คือ ฉันเป็นฉันได้ทุกวันนี้(ปัจจุบัน) ก็เป็นผลมาจากสิ่งที่ฉันเลือกเมื่อวานนี้(อดีต)



ทีนี้หลายคนพอเจอข้อความนี้อาจจะงง ว่าทำไมมีคำว่า yesterday แต่ใช้คำว่า is ไม่ใช้ was แล้วทำไมมีคำว่า tomorrow แล้วดันใช้ is ไม่ใช้ will be เอาล่ะ ก่อนอื่น เราเข้าใจหรือเปล่าว่า ทำไม yesterday ถึงจะต้องใช้ was และ tomorrow จะต้องใช้ will be คืออย่างนี้ค่ะ การเปลี่ยนกริยาเป็นช่อง 2 หรือเติม will จะทำเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น ณ เวลานั้น อย่างรูปก่อนหน้านี้ที่บอกว่า I made (the choices) yesterday. ก็คือ ฉันตัดสินใจเมื่อวานนี้ หรือ I will go to see the movie tomorrow. ก็คือฉันจะไปดูหนังพรุ่งนี้ ซึ่งกริยาสื่อว่าทำอะไรในช่วงเวลาไหน

แต่อย่างในกรณีนี้ Yesterday is history. ความหมายคือเมื่อวานนี้เป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ได้สื่อว่าเป็นการกระทำของเมื่อวานนี้ แต่ประโยคนี้เป็นข้อเท็จจริงว่า เมื่อวานเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์(หรือเหตุการณ์ที่ย้อนกลับมาไม่ได้แล้ว) ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ ก็ยังมีเมื่อวานอยู่ ดังนั้นมันไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วจบ แต่เป็นความจริงที่ว่า ไม่ว่าจะวันไหน เราก็ยังมีเมื่อวานเสมอ สำหรับประโยค Tomorrow is a mystery. ก็เช่นกัน ประโยคนี้ไม่ได้บอกว่าใครจะทำอะไรในอนาคต แต่บอกความจริง ว่าวันพรุ่งนี้ยังคงเป็นเรื่องปริศนา (ที่ยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไร)  เมื่อเป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่ว่าจะวันไหนๆ ก็มีวันพรุ่งนี้อยู่เสมอ จึงใช้คำว่า is  




มาที่เรื่องจำนวนกันบ้าง คำว่า every ที่แปลว่าทุกๆ สื่อความหมายว่า แต่ละอัน/แต่ละสิ่ง ซึ่งก็แสดงถึงความเป็นเอกพจน์ และโดยปกติก็จะใช้กับนามเอกพจน์เช่น every single man เหมือนคำพูดข้างบนนี้ที่ใช้ Everybody is a genius. แต่ทีนี้ลองสังเกตคำพูดข้างล่างดูสิคะว่าทำไม every ถึงใช้กับพหูพจน์อย่าง sixty seconds
โดยปกติจำนวนโดยตัวของมันเอง ก็จะบอกว่าเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ เช่น I have three dogs. They are playing with my children. ก็คือจะบอกว่า ฉันมีสุนัขสามตัว พวกมันกำลังเล่นกับลูกของฉันอยู่ สังเกตว่าเป็นพหูพจน์ จึงใช้คำว่า they are ซึ่งโดยปกติก็จะเป็นเช่นนี้ แต่ใน quote ด้านบน every sixty seconds ในกรณีนี้ วินาทีทั้ง 60 ถูกเหมารวมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน (ต้องมี 60 วินาที ถึงจะประกอบกันเป็นหนึ่งนาที) จึงใช้คำว่า is ไม่ใช่ are กรณีเช่นนี้ เราอาจจะพบเห็นได้ทั่วไป เช่นเมนูอาหาร bacon and eggs ที่ดูเหมือนจะเป็นพหูพจน์ แต่จริงๆแล้วถ้าจะพูดว่าเป็นเมนูอาหาร(จานเดียวกัน) ก็จะใช้เป็นเอกพจน์ เช่น  Bacon and eggs is a popular breakfast meal in many countries. เพราะในกรณีนี้ เราหมายความเป็นกลุ่มก้อนค่ะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

ขอบคุณรูปภาพจาก
1. http://vasare.wordpress.com/2012/06/26/good-summer-vibes-photo-diary-part-1/
2. http://www.tattoodonkey.com/kushandwizdom-kush-and-wizdom-quote-quotes-tattoo/leblogdelalingerie.com*wp-content*uploads*kush-and-wizdom-tumblr-quotes-517.jpg/
3. http://www.wordsonimages.com/photo?id=54796-John+irving+famous+quotes+4
4. http://inspirationboost.com/yesterday-is-history
5. http://riotlainie.buzznet.com/photos/qotw/?id=60105591
6. http://kootation.com/rumi-quote-jpeg.html

Thursday, August 1, 2013

ได้คำศัพท์จากเครื่องสำอาง

เนื่องด้วยเห็นเครื่องสำอางที่บ้านที่มีมากมาย เลยทำให้เกิดไอเดียในการเขียนบล็อกครั้งนี้ค่ะ

เอาล่ะ ก่อนอื่นขอกล่าวถึงคำว่า"เครื่องสำอาง" สักหน่อยละกัน คำนี้สะกดโดยไม่มี "ค์" นะคะ เห็นคนเขียนกันบ่อย (อ้างอิงจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน) บอกไว้ก่อนเป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆละกันเนอะ

เวลาไปเดินตามห้าง จะพบเครื่องสำอางบางยี่ห้อระบุว่าเป็นสูตรธรรมชาติ ซึ่งเค้าใช้คำว่า Botanic เคยเห็นกันบ้างหรือเปล่าคะ

คำว่า Botanic (adj.) มีความหมายว่า เกี่ยวกับพืช ก็คือเขาจะสื่อว่าเป็นเครื่องสำอางที่มีสารสกัดจากธรรมชาตินั่นแหละค่ะ




นอกจากนี้ถ้าเขียนเป็นคำนามคือ Botany ก็จะหมายถึงวิชาพฤกษศาสตร์ หรือวิชาที่ว่าด้วยเรื่องของต้นไม้นั่นเองค่ะ

แล้วพอเห็นคำเหล่านี้รู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนบ้างมั๊ยคะ.....เอาล่ะ จะบอกให้ละกัน ก็ลูกอมโบตัน ยาสีฟันคอลเกตไง อุ๊ย! ไม่ใช่ละ....ลูกอม Botan ก็เอามาจากคำนี้แหละค่ะ เพื่อสื่อว่ามาจากธรรมชาติค่ะ

พูดถึงพืชพรรณ ก็นึกถึงคำว่าสมุนไพร นั่นก็คือ Herb (n.) คำนี้จะบอกเจาะจงเลยว่าเป็นสมุนไพร ซึ่งเราก็คงเคยเจอคำนี้กับยี่ห้อแชมพูชื่อ Herbal Essences ไงล่ะ

คำว่า herb ก็เป็นคำตั้งต้นที่ทำให้เกิดคำใหม่ๆเพิ่มขึ้นนะคะ เช่น herbicide (ยาฆ่าวัชพืช) herbivore (สัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร) เป็นต้น

นอกจากนี้ คำว่าพืชก็มีคำที่ขึ้นต้นว่า veg-   อย่างเช่นคำว่า vegetable (พืชผัก) vegetarian หรือบางทีก็เรียก vegan (มังสวิรัติ) veggie (ผักหรือเกี่ยวกับผัก) เคยเห็น Tipco Veggie รึเปล่าเอ่ย

อีกคำที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก็คือคำว่า plant ที่แปลว่าพืชหรือเพาะปลูกก็ได้ ซึ่งถ้าเติมคำนำหน้า (prefix) คำว่า im- ลงไป ก็จะได้คำว่า implant ซึ่งแปลว่า ปลูกฝัง(นิสัย) หรือปลูกฝัง(ทางการแพทย์ เช่น ปลูกรากเทียมเพื่อใส่ฟันปลอม) แปลเป็นไทยก็มีคำว่าปลูกเป็นรากศัพท์นั่นเองค่ะ

เอาล่ะวันนี้ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ละกัน เวลาใช้เครื่องสำอางหรือเวลาที่ไปเดินห้าง ก็อย่าลืมสังเกตฉลากผลิตภัณฑ์ อาจจะได้คำศัพท์เพิ่มขึ้นมาด้วยนะคะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

ขอบคุณรูปจาก http://fr.wikipedia.org/wiki/Fichier:Botanic.png

Saturday, July 13, 2013

หาแรงบันดาลใจและเอาเยี่ยงอย่าง

สวัสดีค่ะ เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว มีข่าวว่า พี่วินมอเตอร์ไซด์คนหนึ่งนามว่าเดชชาติ ได้สัมภาษณ์กับนักข่าวสิงคโปร์ เนื่องจากสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับชาวต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว พี่แกบอกว่าชอบดูหนังฝรั่งแบบ original soundtrack ฟังเพลงฝรั่ง และที่ต้องขอชมว่าสุดยอดเลยก็คือ พี่แกก็ท่อง dictionary เพิ่มพูนความรู้ให้ตัวเองด้วย ไม่น่าแปลกใจเลยที่แกพูดภาษาอังกฤษได้คล่องกว่าคนที่เรียนจบปริญญาหลายๆคนอีกนะ(ไม่ได้โม้นะคะ แต่บางทีมันก็น่าคิดจริงๆ)

พี่วินเดชชาติยังบอกอีกว่า สนใจที่จะหาความรู้เพิ่มเติมอีกเรื่องเทคโนโลยี ฟังพี่แกแล้วน่าชื่นชมจริงๆ ว่าแกเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ใฝ่รู้ ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ใครที่อยากเก่งภาษา น่าเอาเป็นแบบอย่างนะคะ ใครที่อยากรู้วิธีการเรียนรู้ด้วยตัวเองของเขามากขึ้น สามารถเข้าไปอ่านบทสัมภาษณ์ได้ที่ http://www.thairath.co.th/content/life/353119

เห็นมั๊ยคะว่าคนเรา ไม่จำเป็นต้องจบปริญญาสูงๆมาก็เก่งภาษาอังกฤษได้ บางคนเรียนจบมาจากประเทศที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ยังพูดภาษาอังกฤษด้อยกว่าคนที่ไม่เคยไปเรียนต่างประเทศแต่ฝึกภาษาด้วยตัวเอง ก็มีถมเถไปนะคะ (อันนี้เคยเจอมากับตัว) หรือใครอยากจะพิสูจน์ ก็ลองดูคลิปสัมภาษณ์ของคุณโมเม นภัสสร ในรายการ EB-Tea Break ดูสิคะ




คนเราถ้าไม่หยุดที่จะเรียนรู้ ขวนขวายด้วยตัวเอง ยังไงภาษาอังกฤษต้องพัฒนาขึ้นแน่นอนค่ะ หลายๆคนบ่นว่าไม่มีเวลาไปเรียนภาษาอังกฤษเลย แค่ทำงานก็หมดเวลาแล้ว งั้นลองเปลี่ยนเป็นเรียนภาษาอังกฤษเองดีมั๊ยคะ เวลายืดหยุ่นได้มากกว่าเพราะเราเป็นคนวางแผนเวลาได้เอง แต่ถ้าใครบอกว่า ก็ยังไม่มีเวลาฝึกเองอีก ลองถามตัวเองดูนะคะว่า ถ้าวันนี้คุณบอกตัวเองว่าไม่มีเวลา อีกสิบปีข้างหน้าคุณก็จะไม่มีเวลาเหมือนเดิมหรอกค่ะ ซึ่งปัญหามันก็อยู่ที่การจัดสรรเวลาของตัวคุณเองแล้วล่ะ

ทีนี้สำหรับคนที่พอจะจัดสรรเวลาได้ ก็ลองหาเวลาบางวันมานั่งดูหนัง ฟังเพลง หรืออ่านคอลัมน์หรืออะไรก็ได้ที่เป็นภาษาอังกฤษดูสิคะ ครั้งละ 1-2 ชั่วโมงก็ได้ บางคนยังเจียดเวลามาดูละครหลังข่าวได้เลย ทำไมจะเจียดเวลามาดูหนังฝรั่งบ้างไม่ได้ล่ะคะ

สรุปที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็อยากจะให้ทุกคน หาแรงบันดาลใจ หรือใครก็ได้ ที่สามารถเอามาเป็นเยี่ยงอย่างในการเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะได้มีกำลังใจสู้ต่อไป และเอามาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง อย่าลืมนะคะ ไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ AEC ภาษาอังกฤษยิ่งสำคัญเลยค่ะ มีผลต่อการทำงานในอนาคตแน่นอน ใครจะรู้ ประเทศเพื่อนบ้านอาจจะมาแย่งงานเราทำก็ได้นะ ถ้าเราหยุดพัฒนาตัวเองอ่ะ

อยู่เมืองไทยก็เก่งภาษาอังกฤษได้ค่ะ อย่าท้อแท้ สู้ต่อไปนะคะ ^^

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

ขอบคุณรูปภาพจาก http://under30ceo.com/pictures-12-inspirational-quotes-for-entrepreneurs/

Saturday, June 29, 2013

เรียนภาษาอังกฤษจากการอ่านนิทานหรือนิยาย

สวัสดีค่ะ มาพบกันอีกครั้ง วันนี้เราจะมาพูดถึงคำว่า synchronize ต่อจากครั้งที่แล้วกันนะคะ

บางครั้งการอ่านหนังสือ นิทานหรือนิยายก็ทำให้เราได้คำศัพท์เพิ่มขึ้นมานะคะ อย่างนุชจะชอบอ่านเทพนิยายกรีกโรมันซึ่งก็ทำให้ได้คำที่เป็นรากศัพท์ของภาษาอังกฤษหรือสำนวนบางอย่างมาด้วยนะ

ว่าแล้วก็ยกตัวอย่างมาให้ฟังสักเรื่องหนึ่งละกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้าองค์หนึ่งที่มีชื่อว่า โครนอส (Chronos) ภาษากรีกจะเขียนว่า Χρόνος โครนอสเป็นเทพที่มีลักษณะเป็นชายชรา หนวดเครารุงรัง โครนอสมีพ่อเป็นเทพแห่งท้องฟ้า ชื่อเทพยูเรนัส (Urenus) ซึ่งพอโครนอสเติบใหญ่ก็แย่งชิงบัลลังก์มาจากพ่อตัวเอง ทำให้เมื่อมีบุตรชาย คือซุส (Zeus)หรือราชาแห่งทวยเทพ ก็ถูกกรรมตามสนอง เพราะซุสก็แย่งชิงบัลลังก์มาจากโครนอสอีกที

โครนอส เทพแห่งเวลา

โครนอสนั้นนอกจากจะเป็นบิดาของซุสที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปแล้ว โครนอสยังเป็นเทพเจ้าแห่งกาลเวลาอีกด้วย ดังนั้นในภาษากรีกคำว่า chronos จึงมีความหมายว่า เวลา คำว่า chron- จึงเป็นรากศัพท์(root word) ของภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับเวลาค่ะ

คำว่า syn- เป็นคำที่ไว้เติมข้างหน้าคำอื่น(prefix) มีความหมายว่า "เหมือนกัน" ดังนั้นเมื่อเติมข้างหน้า chron- จึงแปลว่า เกิดในเวลาเดียวกัน ส่วนคำ -ize เป็นคำลงท้าย (suffix) เพื่อทำให้คำมีหน้าที่เป็นกิริยา(verb) เมื่อนำทั้งสามส่วนมารวมกันจึงได้คำว่า synchronize เช่น The soundtrack did not synchronize with the action.[1] ถ้าเป็นคำคุณวิเศษณ์(adjective) ก็จะเป็น synchronous(ที่เกิดในเวลาเดียวกัน) หรือถ้าเป็นคำนาม(noun) ก็คือ synchronization (การเกิดในเวลาเดียวกัน)

นอกจากนี้รากศัพท์ chron- ยังนำมาสร้างคำได้อีกมากมาย เช่น chronic(adj.) ที่แปลว่าเรื้อรังหรือประจำ เช่น chronic illness คือการเจ็บป่วยที่เป็นเรื้อรัง chronicle(n.) คือเหตุการณ์ที่บันทึกตามลำดับเวลา เช่นหนังเรื่อง The Chronicles of Narnia บางครั้งก็มีการใช้สร้างคำเฉพาะในบางสาขาวิชา เช่น chronometer (มาตรวัดเวลา) เป็นต้น

ตอนเด็กๆนุชจำได้ว่าเคยดูการ์ตูนเรื่อง The Mask หน้ากากเทวดา (พระเอกจะใส่หน้ากากแล้วแปลงร่างเป็นหน้าเขียวๆ พระเอกเลี้ยงสุนัขชื่อไมโล) มีอยู่ตอนหนึ่งที่มีตัวละครชื่อ Chronos เป็นตัวร้าย พยายามจะครอบครองโลกโดยใช้ความได้เปรียบที่ตัวเองสามารถควบคุมเวลาให้เดินหน้าหรือถอยหลังตามใจตัวเองโดยใช้เครื่อง time machine ที่สร้างขึ้นมา (หากอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้ในวิกิพีเดียค่ะ) ซึ่งตัวละครนี้ นุชจำชื่อได้แม่นจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ (เพิ่งมารู้ทีหลังว่าตัวละครนี้ชื่อเต็มคือ Dr. Amelia Chronos ซึ่งเค้าก็จงใจตั้งชื่อนี้ โดยนำมาจากเทพเจ้ากรีกนั่นแหละค่ะ) 


ดร.โครนอสตัวร้าย


ดังนั้นการดูการ์ตูน อ่านนิทานหรือเทพนิยาย ก็ทำให้เราได้คำศัพท์เพิ่มขึ้นนะคะ แต่อย่าลืมว่าถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นก็เน้นเป็นภาคภาษาอังกฤษดีกว่า เพราะจะทำให้ได้ฝึก reading และ listening มากกว่าแบบภาคภาษาไทยนะคะ และนอกจากนี้เราก็จะได้ซึมซับ grammar และการใช้คำไปเองแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องมานั่งท่องเลยค่ะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

References:
1. English-English Oxford Dictionary
2. Wikipedia
3. http://www.rebellesociety.com/2012/10/11/the-writers-way-week-two-facing-procrastination/chronos_oeuvre_grand1/
4. http://the-mask.wikia.com/wiki/Dr._Amelia_Chronos

Wednesday, June 26, 2013

เรียนภาษาอังกฤษจากการอ่านไปเรื่อย(เปื่อย)


สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษจากการอ่านไปเรื่อยเปื่อยนะคะ สมัยนี้ข่าวสารอะไรๆก็ไปได้ทั่วถึงหมดเพราะเรามีโซเชียลมีเดียที่พร้อมจะนำเสนอข้อมูลอะไรให้เรามากมาย ยกตัวอย่างเมื่อเช้านี้นุชก็เข้า Facebook ไปเช็คข้อมูลข่าวสารไปเรื่อย ก็ไปเจอกับบทความหนึ่งที่เป็นบทความตลกเชิงเสียดสีเกี่ยวกับอาชีพของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (Flight Attendant หรือ Cabin Crew หรืออาจะรู้จักในชื่อ stewards/stewardesses หรือ air hosts/hostesses)

พออ่านบทความจบก็สังเกตเห็นว่า มีส่วนที่เป็นเว็บลิงค์ไปยังอีกเว็บหนึ่งที่ขึ้นหัวข้อว่า Stars without Makeup พร้อมกับโชว์หน้าดารานักร้องสาวนางหนึ่ง ซึ่งเราก็อยากจะเห็นรูป เพราะรู้สึกว่านักร้องคนนี้เป็นคนที่ ถ้าไม่แต่งหน้าก็ไม่ขี้ริ้วอะไร ว่าแล้วก็ต้านทานความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว ก็เลยคลิกเข้าไป

ทีนี้เราก็เข้าไปดูรูปแล้วก็เลื่อนลงมาอ่านคอมเม้นท์ข้างล่างก็พบว่ามีคน [ฝรั่ง] คนหนึ่ง  ต่อว่านักร้องสาวนางนี้ว่าไม่ชอบการร้องเพลงของเธอเลย ทั้งการร้องสดและการลิปซิงค์ เอาล่ะสิ งานนี้เราดันเจออะไรที่ไม่คาดฝัน ไม่ใช่ว่าโมโหแทนหรืออะไรนะคะ คืออย่างนี้ค่ะ ตาฝรั่งคนนี้เขียนคำว่า ลิปซิงค์ เป็น lip synch ซึ่งตามที่เราเข้าใจตอนแรก ก็คิดว่ามันน่าจะเขียนว่า lip sing(ing) แต่เอ...ทำไมเขาถึงเขียนอย่างนี้ล่ะ หรือว่ามันจะเป็นการแปรสภาพคำแบบเปลี่ยนบางตัวอักษรแต่เสียงยังคงเดิม (เช่นภาษาวัยรุ่นหรือพวกฮิปฮอปจะใช้คำว่า muzik แทน music โดยที่เป็นการเปลี่ยนตัวอักษร แต่การออกสียงยังคงเดิม ก็คงคล้ายๆกับภาษาวัยรุ่นคำว่า เธอ เขียนว่า เทอ อะไรทำนองนี้มั้งคะ) อย่างคำว่า synch อ่านออกเสียงก็คล้ายๆกับ sing อยู่นะ



ว่าแล้วด้วยความสงสัย ก็เลยวิ่งไปหาอากู๋ (Google) เผื่อว่าแกจะช่วยคลายความสงสัยลงได้ ทายสิคะเว็บแรกที่โชว์ข้อมูลเราแบบสะดุดตาคืออะไร ............... ถูกต้องค่ะ วิกิพีเดียค่ะ (ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ) พี่วิกี้นี่เป็นผู้มีพระคุณมากเลยค่ะ แกบอกเรามาเกินกว่าที่เราสงสัยอีกนะ เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า คำว่าลิปซิงค์ ฉบับเต็มๆก็คือ lip synchronization ดังนั้นถ้าจะเขียนให้ถูกต้องก็คือ Lip sync, lip-sync หรือ lip-synch ค่ะ ซึ่งคำว่า synchronize มีความหมายว่า ทำหรือเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ดังนั้นถ้าจะให้แปลความหมายก็ประมาณว่า เป็นการใช้ริมฝีปากไปพร้อมๆกับการเปิดเพลงหรือเสียงที่อัดไว้แล้วนั่นเอง

แต่ช้าก่อน!! พี่วิกกี้ไม่ได้ให้คำจำกัดความของการลิปซิงค์ไว้แค่การร้องเพลงที่เปิดไปพร้อมกับเสียงที่อัดไว้อยู่ก่อนแล้วนะคะ แต่คำนี้หมายความรวมไปถึง การเอาเสียงที่บันทึกไว้แล้ว มาเปิดทับวิดีโอหรือเทปบันทึกบางประเภท เช่น การพากษ์เสียงในหนัง (บางทีก็ใช้คำว่า dub) ซึ่งก็ทำให้เราได้รับความรู้เพิ่มเติมว่า ลิปซิงค์หรือการพากษ์มีหลายแบบ แบบที่พากษ์เสียงภาษาเราทับเสียงภาษาเดิม (Original Soundtrack) หรือหนังจำพวก musical ก็จะมาลิปซิงค์หรือมาใส่เพลงที่ร้องทีหลังให้เข้ากับปากนักแสดงในเทปที่อัดไปแล้ว ซึ่งขั้นตอนนี้ทำตอนบันทึกหนังเสร็จแล้ว (ก็แน่ล่ะสิ!!) แต่ถ้าเป็นแบบหนังแอนนิเมชั่น จะพากษ์เสียงก่อนที่เค้าจะสร้างตัวละครโดยใช้กราฟฟิก (เพราะต้องมีการวาดปากให้ขยับตรงกับคำพูดที่พูดออกมา) ซึ่งการลิปซิงค์แบบนี้ก็ใช้กับการสร้างเกมส์ด้วยนะ

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการร้องเพลง หลายคนไม่ชอบการลิปซิงค์นะ ซึ่งเราก็(เคย)เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เพราะรู้สึกว่าเหมือนโดนหลอก แต่แล้วพี่วิกกี้ก็ทำให้เราได้เห็นมุมมองอื่นมากขึ้นว่า บางทีนักร้องก็มีเหตุผลในการลิปซิงค์นะ บางคนต้องเต้นไปร้องไป ถ้ามัวแต่ร้องสด คนดูอาจจะทนกับเสียงหอบแฮ่กๆไม่ไหวก็ได้ หรือบางคนป่วยหรือร่างกายไม่เอื้ออำนวยจริงๆ ประมาณว่าถ้าร้องสด เสียงอาจจะสยองก็ได้ ก็เลยจำเป็นต้องลิปซิงค์ หรือบางทีถ้าไปออกรายการทีวี เค้าจะขอให้ลิปซิงค์แทนการร้องสด เพราะไม่ต้องใช้เวลาในการซ้อมนักดนตรีก่อนอัดเทปนานนัก

พูดไปพูดมา ชักจะออกอ่าวไทยไปแล้วค่ะ >.< เอาเป็นว่าถ้าอยากจะบอกว่านักร้องคนนี้ไม่ได้ร้องสด ก็ใช้คำว่า lip synch ย่อๆก็ได้ หรือจะใช้อีกคำว่า mime (คำนามคือ miming ค่ะ) หรือ dub ก็ใกล้เคียงค่ะ

ตอนหน้าเราจะพูดกันถึงคำว่า synchronize ค่ะ ว่าทำไมเขียนยากและยาวจัง มันมีที่มาอย่างไร รอติดตามกันนะคะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

ขอบคุณ Wikipedia สำหรับข้อมูลและรูปจาก http://stocktoons.com/design/stock-cartoon-of-a-man-in-a-blue-suit-singing-by-ron-leishman-1626

Friday, June 21, 2013

เรียนภาษาอังกฤษจากความไม่รู้ (ที่ฮาโดยบังเอิญ)

ครั้งหนึ่งนุชได้มีโอกาสร่วมงานกับคนอเมริกัน ทำให้เราได้มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกัน มีอยู่วันหนึ่งช่วงที่งานไม่ค่อยยุ่ง เราจะไปเข้าห้องน้ำ ก็เลยฝากเพื่อนร่วมงานดูแลงานให้แทน เผื่อว่ามีลูกค้ามาหรือมีอะไรด่วน ซึ่งเราก็ฝากงานเค้า แล้วบอกว่า   “I’ll go to the toilet.”         ฝรั่งมะกันมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา เราก็งงว่ามีอะไรหรอ เค้าก็เลยหันมาบอกว่า “You go to the toilet?” แล้วก็ฮากันต่อ สักพักนึงเค้าเลยหันมาอธิบายว่า ไอ้เจ้า toilet เนี่ยหมายถึง ....... (เค้าทำมือสองข้างกวาดเป็นรูปวงรีให้ดูค่ะ) แหมดูซิ ท่าทางการอธิบาย บอกเป็นคำพูดก็ได้นะ    ฮ่าๆๆ


ตอนนั้นเราก็งงว่า อ้าว ที่เราเรียนมาคือแบบ “I want to go to the toilet.” นี่นา มันผิดหรอ หลังจากรวบรวมสติได้แล้วก็กลับมานั่งพินิจพิเคราะห์ ก็เลยสรุปได้ว่า “I want to go to the toilet.” เนี่ย เป็นภาษาอังกฤษที่ใช้กับคนอังกฤษ (British English) คนอเมริกันไม่ใช้ค่ะ ซึ่งถ้าดูให้ดีแล้วอย่างฝรั่งเศสก็ใช้คำว่า “les toilettes” เหมือนกัน(ก็เค้าเป็นโซนยุโรปเก่าแก่เหมือนกันนี่เนอะ) สรุปก็คือ ถ้าจะสื่อว่าเป็น”ห้องน้ำ” สำหรับคนอังกฤษ ก็ใช้ toilet ได้ แต่ถ้าพูดกับคนอเมริกัน เค้าจะนึกว่าพูดถึงชักโครกค่ะ




ทีนี้ถ้าเราจะพูดถึงห้องน้ำกับคนอเมริกัน ก็ใช้คำว่า “restroom” หรือ “bathroom” แรกๆเราก็พอเข้าใจนะ แต่พอมานึกอีกทีก็เริ่มงงอีกแล้วว่า bathroom มันไม่ได้หมายถึงห้องอาบน้ำหรอ (แบบอาบน้ำอย่างเดียวน่ะ) ก็เราท่องมาแบบนี้หนิ bath = อาบ   room = ห้อง นี่นา แต่คนอเมริกันใช้ bathroom สำหรับห้องสุขาทั่วไปเลยโดยไม่จำกัดว่าจะว่าเป็นห้องสำหรับอาบน้ำค่ะ



สรุปนะคะ ห้องน้ำอาบน้ำของคนอังกฤษจะเรียกว่า bathroom แต่บางบ้านอาจจะมีการแยกชักโครกไว้เป็นอีกห้องหนึ่ง ซึ่งห้องนี้(หรือห้องสุขาไหนๆที่ไม่มีอ่างอาบน้ำ)จะเรียกว่า toilet ซึ่ง toilet นี้ก็แปลว่าชักโครกเช่นกันค่ะ ส่วนคนอเมริกันจะเรียกห้องสุขาว่า restroom หรือ bathroom แต่ถ้าพูดว่า toilet ก็หมายความถึงชักโครกอย่างเดียวค่ะ ซึ่งคนอเมริกันโดยทั่วไปก็ใช้ทั้ง restroom และ bathroom นะคะ หากใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามรถเข้าไปดูได้ในนี้เลยค่ะ http://en.wikipedia.org/wiki/Public_toilet



ขอทิ้งท้ายนิดนึงจากสิ่งที่สังเกตมาละกันนะคะ   จริงๆคนไทยเก่งนะ          รู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเยอะ  แต่การที่เรารู้คำศัพท์เยอะนี่แหละ มันทำให้เราตีมั่วกันไปหมดเลย ทั้งอังกฤษแบบอังกฤษ (British English) และอังกฤษแบบอเมริกัน (American English)   ที่เป็นอย่างนี้ก็อาจเป็นเพราะ ประเทศเราไม่เป็นเมืองขึ้นของใคร เราเรียนรู้เอง องค์ความรู้จากทั้งสองประเทศ(และที่อื่นๆ)เลยหลั่งไหลเข้ามา ทำให้เรารู้คำศัพท์หมด (แต่แอบปนกัน) แต่ยังไงก็ตามคนไทยเรียนรู้ได้เองโดยยังคงความเป็นเอกราชอยู่ (ในขณะที่ประเทศเพือนบ้านบางประเทศมีการใช้ภาษาอังกฤษไปในแนว British English เนื่องจากเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ) ไทยเราได้ขนาดนี้ก็สุดยอดแล้ว เราเก่งภาษาอังกฤษกว่าบางประเทศที่เค้าพัฒนากว่าเราอีกนะ (และหลายประเทศที่เป็นเอกราชและมีความเป็นชาตินิยมแต่ไม่เรียนรู้ภาษาปะกิด) รู้อย่างนี้แล้วประเทศเราควรจะภูมิใจและอย่ารีรอที่จะพัฒนาภาษานะคะ ประเทศเราให้โอกาสในการเรียนรู้ภาษาตั้งมากมาย แต่อยู่ที่เราว่าจะไขว่คว้าหรือเปล่าเท่านั้นเอง



กลับมาที่หัวข้อสักเล็กน้อย บางทีความไม่รู้ก็ทำให้เราได้ความรู้เพิ่มขึ้นมานะคะ อย่างกรณีนี้ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าคำว่าห้องน้ำมีใช้ต่างกันด้วยหรือ แต่ความไม่รู้ก็เป็นบ่อเกิดให้เราไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจนรู้ว่ามันมีการใช้แตกต่างกันยังไง     สุดท้ายนี้ก็ต้องขอบคุณ http://en.wikipedia.org/wiki/ สำหรับการเป็นแหล่งข้อมูลที่ทำให้บทความนี้สมบูรณ์มากขึ้นค่ะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

รูปจาก: http://amusingweb.blogspot.com/2012/01/funny-and-creative-toilet-signs.html
http://amarkedman.com/2011/09/09/day-317-part-2/toilet-sign/

Wednesday, June 12, 2013

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากสังเกต(นิดนึง)

สวัสดีค่ะ ห่างหายกันไปซักพักนึง พอดีงานยุ่งๆน่ะค่ะ  >.<

เอาเป็นว่าจะพยายามหาเวลาอัพบล็อกเป็นประจำละกันนะคะ


วันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องการสังเกตละกัน

บางทีการที่เราหัดสังเกตหรือสงสัยในสิ่งต่างๆรอบตัว ก็ทำให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้นได้นะคะ อย่างเช่น เวลาไปไหนมาไหนแล้วเห็นป้ายโฆษณาที่มีภาษาอังกฤษกำกับ ก็ลองดูสิคะ ว่ามีคำศัพท์ไหนที่เราไม่รู้บ้าง แล้วเราพอจะเดาความหมายได้หรือเปล่า ถ้าเดาไม่ได้ ก็จำหรือจดไปเปิด dictionary เราก็จะรู้คำศัพท์ใหม่เพิ่มนะคะ

เมื่อเช้าฟังรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ก็ได้ยินข่าวการฆาตกรรมนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ก็มีการสอบสวนผู้ต้องหา ซึ่งเป็นคนขับรถของนักธุรกิจคนนี้ ฟังบทสนทนาการสอบสวนแล้วก็ต้องมาตัดสินกันอีกที ว่าคำให้การเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทีนี้ก็นึกขึ้นได้ถึงข้อแตกต่างระหว่างการพูดจริงกับพูดโกหกค่ะ


ความจริงจะมีเพียงแค่เรื่องเดียว แต่หากเราเริ่มต้นโกหก ก็อาจจะต้องสร้างเรื่องอื่นๆขึ้นมา เพื่อผูกเรื่องราวให้เรื่องที่เราหลอกดูเนียน เหมือนเป็นความจริง

ไม่ได้กำลังสอนสัจธรรมนะคะ แต่กำลังโยงเข้ากับเรื่องของภาษา

ฝรั่งเองก็คงมองเห็นจุดนี้ เลยมีการใช้คำว่า tell the truth และ tell a lie ค่ะ

สังเกตมั๊ยคะว่า tell THE truth คำว่า "the" จะใช้สำหรับอะไรที่เน้นหรือมีอันเดียว ดังนั้นการที่ใช้คำว่า tell the truth ก็หมายความว่า คนๆนั้นบอกความจริง (ซึ่งเป็นความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว)

ส่วนคำว่า tell A lie มีการใช้ "a" ซึ่ง a มีไว้ใช้สำหรับอะไรทั่วๆไป หรือไม่ได้มีแค่สิ่งเดียว ก็บอกเป็นนัยได้ว่า การโกหกเรื่องใดเรื่อง อาจจะนำไปสู่เรื่องอื่นๆ(อีกมากมาย)ได้ ดังนั้นถ้ามีการโกหกแบบหลายเรื่องก็อาจจะใช้ tell lies ได้

นี่แหละค่ะ ที่บางคนถึงพูดว่า การโกหก จริงๆเหนื่อยนะ ต้องคอยสร้างเรื่องอยู่ตลอดเวลา พูดความจริงสบายกว่าเยอะ

พูดไปพูดมา นอกเรื่องซะงั้น 5555

เอาล่ะ แต่บางทีถ้าอยากจะเน้นย้ำว่าเรื่องโกหกเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ใช้ tell the lie ได้นะ แต่โดยทั่วไปจะเห็น tell a lie มากกว่าค่ะ

สรุปก็คือ a/an (หรือถ้าเป็นพหูพจน์ก็ไม่ต้องใส่ article) นำหน้าคำนามที่ไม่เฉพาะเจาะจง หรือไม่ได้มีแค่สิ่งเดียว ส่วน the จะใช้นำหน้าสิ่งที่เราเน้นหรือมีอันเดียวนะคะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

รูปจาก http://visalakshiramani.wordpress.com/articles/miraculous-mind/when-we-tell-lies/

Tuesday, May 7, 2013

วิธีการเรียนแบบ Gothica

การเรียนไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรก็ตามมีวิธีการต่างๆมากมาย โดยเฉพาะในสมัยนี้ที่การสื่อสาร หรือการค้นหาข้อมูลสะดวกสบายเพียงแค่ปลายนิ้วคลิก จะเห็นว่าการเรียนรู้ภาษาหนึ่งไม่ใช่เรื่องยากเหมือนในสมัยก่อนอีกแล้ว ดังนั้นการเรียนสมัยนี้ ก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเรียนในห้องเรียนอีกต่อไปแล้วค่ะ

มีเพื่อนหลายคนถามว่า ไปเรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี ซึ่งเราก็จะตอบทุกคนว่า เรียนที่ไหนแล้วดีอ่ะ มันเป็นอีกเรื่องนึง ที่แน่ๆก็คือ เราจะเก่งหรือไม่อยู่ที่การฝึกฝนเอง การลงคอร์สเรียนน่ะ จะมีเวลาคลุกคลีกับภาษาอังกฤษแค่อาทิตย์ละ 2-3 ชั่วโมง (เนื่องจากอยู่ในวัยทำงานแล้ว) ในขณะที่อีก 6 วัน ไม่ได้แตะภาษาอังกฤษเลย ไม่ได้อคติว่าการลงคอร์สเรียนไม่ดีนะคะ มันดีแน่นอน อย่างน้อยคุณก็ได้ความรู้เพิ่มพูนขึ้นมา แต่หากคุณต้องการเก่งภาษาอังกฤษจริงๆแล้ว คุณก็ต้องให้มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ลองคิดง่ายๆก็คือ ทำไมคนที่ไปเรียนต่อประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ถึงกลับมาแล้วเก่งอังกฤษ ก็เพราะเค้าอยู่ในสภาพแวดล้อม (หรือสถานการณ์บีบบังคับ) ที่ใช้ภาษาอังกฤษตลอดเวลาค่ะ 

กล่าวมาซะยืดยาว งั้นมาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ วิธีการเรียนของนุช (ไม่ว่าจะเป็นภาษาหรือสาขาอะไรก็ตาม) ก็คือ ทำให้มันเป็นชีวิตประจำวันและธรรมชาติที่สุดค่ะ เรียนรู้ตลอดเวลา เรียนรู้ตลอดชีวิต และเรียนรู้ได้จากทุกที่ ก็คงเหมือนกับที่ครูเคทเคยพูดว่า คนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ อย่างนึงที่นุชเชื่อก็คือ ไม่มีใครแก่เกินเรียน มีแต่ว่า เราเรียนในวันนี้ และวันนี้เราจะเก่งกว่าเมื่อวาน

เรามาทำให้การเรียนภาษาอังกฤษเป็นธรรมชาติและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา ไม่ใช่แค่การท่องตำราที่น่าเบื่อกันนะคะ ^_^

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่Knowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

Monday, May 6, 2013

Introduce My Blog

สวัสดีค่ะ

แนะนำตัวกันก่อนนะคะ ชื่อนุชค่ะ บล็อกนี้เป็นบล็อกแรกในชีวิตเลยค่ะ ^.^

จุดประสงค์ที่ทำบล็อกนี้ขึ้นก็เนื่องจากเห็นว่า ในปัจจุบันภาษาอังกฤษมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของเรา

โลกไม่หยุดหมุน เทคโนโลยีก็ไม่หยุดนิ่ง แล้วถ้าเราหยุดเดิน ชีวิตเราก็อาจจะอยู่ยากขึ้นนะคะ

โลกทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อะไรที่เราคิดว่าไม่มีความสำคัญในอดีต แต่มาในสมัยนี้อาจจะมีความสำคัญมากค่ะ

อย่างเช่นภาษาอังกฤษ ถ้าในสมัยก่อนอาจจะบอกว่า ไม่เก่งภาษาอังกฤษก็ไม่เห็นเป็นไร อยู่เมืองไทยตลอดชีวิตไม่เห็นลำบากเลย แต่เดี๋ยวนี้โลกเปิดกว้างมากขึ้น คนที่มีความรู้ก็มีโอกาสต่างๆมากกว่า เช่นการสมัครงาน การได้ตำแหน่งดีๆ หรือโอกาสทางการค้า หรือแม้กระทั่งการอ่านคู่มือการใช้อุปกรณ์มือถือ/คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ก็ต้องอาศัยภาษาอังกฤษทั้งสิ้น ถ้ายังไม่เห็นภาพ ขออนุญาตแบ่งปันรูปๆหนึ่งนะคะ ได้มาจากเฟซบุ๊คของคุณ ยาย่าเป็นยาระบาย 



เมื่อเห็นว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากแค่ไหนแล้ว เราก็อย่ารอช้าที่จะเพิ่มพูนความรู้กันนะคะ เรามาเริ่มกันที่บล็อกนี้เลยค่ะ มาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษไปด้วยกัน โดยไม่มีแบ่งแยกว่าใครเป็นครู ใครเป็นนักเรียน ทุกคนมีความเป็นครูและนักเรียนในตัวเอง ต่อจากนี้ไปการเรียนภาษาอังกฤษจะไม่ใช่เรื่องยาก และเราทุกคนก็สามารถสอนตัวเองได้อีกด้วย 

หากมีข้อติชม แนะนำประการใด ก็คอมเม้นต์ได้เลยนะคะ จะได้นำไปปรับปรุงค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

สุดท้ายนี้ ขอให้สนุกกับการเรียนชั้นเรียนนี้นะคะ นอกจากนี้หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่Knowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณพี่ Sunshine_Boyz จากบล็อก  http://shallwerich.blogspot.com/  ที่ให้คำแนะนำในการสร้างบล็อกนี้ หากใครสนใจเกี่ยวกับการหารายได้เล็กๆน้อยๆจากการรับจ้างทำแบบสอบถามออนไลน์ สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์นี้ได้ค่ะ

อ้างอิง

(https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2/341529529271037)


หากต้องการคอมเม้นท์แต่ไม่มี Google Account สามารถเลือกคอมเม้นท์แบบบุคคลทั่วไปได้ ตามรูปข้างล่างค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ที่ชม แนะนำ หรือติเพื่อก่อค่ะ ^^