Translate

Saturday, June 29, 2013

เรียนภาษาอังกฤษจากการอ่านนิทานหรือนิยาย

สวัสดีค่ะ มาพบกันอีกครั้ง วันนี้เราจะมาพูดถึงคำว่า synchronize ต่อจากครั้งที่แล้วกันนะคะ

บางครั้งการอ่านหนังสือ นิทานหรือนิยายก็ทำให้เราได้คำศัพท์เพิ่มขึ้นมานะคะ อย่างนุชจะชอบอ่านเทพนิยายกรีกโรมันซึ่งก็ทำให้ได้คำที่เป็นรากศัพท์ของภาษาอังกฤษหรือสำนวนบางอย่างมาด้วยนะ

ว่าแล้วก็ยกตัวอย่างมาให้ฟังสักเรื่องหนึ่งละกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้าองค์หนึ่งที่มีชื่อว่า โครนอส (Chronos) ภาษากรีกจะเขียนว่า Χρόνος โครนอสเป็นเทพที่มีลักษณะเป็นชายชรา หนวดเครารุงรัง โครนอสมีพ่อเป็นเทพแห่งท้องฟ้า ชื่อเทพยูเรนัส (Urenus) ซึ่งพอโครนอสเติบใหญ่ก็แย่งชิงบัลลังก์มาจากพ่อตัวเอง ทำให้เมื่อมีบุตรชาย คือซุส (Zeus)หรือราชาแห่งทวยเทพ ก็ถูกกรรมตามสนอง เพราะซุสก็แย่งชิงบัลลังก์มาจากโครนอสอีกที

โครนอส เทพแห่งเวลา

โครนอสนั้นนอกจากจะเป็นบิดาของซุสที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปแล้ว โครนอสยังเป็นเทพเจ้าแห่งกาลเวลาอีกด้วย ดังนั้นในภาษากรีกคำว่า chronos จึงมีความหมายว่า เวลา คำว่า chron- จึงเป็นรากศัพท์(root word) ของภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับเวลาค่ะ

คำว่า syn- เป็นคำที่ไว้เติมข้างหน้าคำอื่น(prefix) มีความหมายว่า "เหมือนกัน" ดังนั้นเมื่อเติมข้างหน้า chron- จึงแปลว่า เกิดในเวลาเดียวกัน ส่วนคำ -ize เป็นคำลงท้าย (suffix) เพื่อทำให้คำมีหน้าที่เป็นกิริยา(verb) เมื่อนำทั้งสามส่วนมารวมกันจึงได้คำว่า synchronize เช่น The soundtrack did not synchronize with the action.[1] ถ้าเป็นคำคุณวิเศษณ์(adjective) ก็จะเป็น synchronous(ที่เกิดในเวลาเดียวกัน) หรือถ้าเป็นคำนาม(noun) ก็คือ synchronization (การเกิดในเวลาเดียวกัน)

นอกจากนี้รากศัพท์ chron- ยังนำมาสร้างคำได้อีกมากมาย เช่น chronic(adj.) ที่แปลว่าเรื้อรังหรือประจำ เช่น chronic illness คือการเจ็บป่วยที่เป็นเรื้อรัง chronicle(n.) คือเหตุการณ์ที่บันทึกตามลำดับเวลา เช่นหนังเรื่อง The Chronicles of Narnia บางครั้งก็มีการใช้สร้างคำเฉพาะในบางสาขาวิชา เช่น chronometer (มาตรวัดเวลา) เป็นต้น

ตอนเด็กๆนุชจำได้ว่าเคยดูการ์ตูนเรื่อง The Mask หน้ากากเทวดา (พระเอกจะใส่หน้ากากแล้วแปลงร่างเป็นหน้าเขียวๆ พระเอกเลี้ยงสุนัขชื่อไมโล) มีอยู่ตอนหนึ่งที่มีตัวละครชื่อ Chronos เป็นตัวร้าย พยายามจะครอบครองโลกโดยใช้ความได้เปรียบที่ตัวเองสามารถควบคุมเวลาให้เดินหน้าหรือถอยหลังตามใจตัวเองโดยใช้เครื่อง time machine ที่สร้างขึ้นมา (หากอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้ในวิกิพีเดียค่ะ) ซึ่งตัวละครนี้ นุชจำชื่อได้แม่นจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ (เพิ่งมารู้ทีหลังว่าตัวละครนี้ชื่อเต็มคือ Dr. Amelia Chronos ซึ่งเค้าก็จงใจตั้งชื่อนี้ โดยนำมาจากเทพเจ้ากรีกนั่นแหละค่ะ) 


ดร.โครนอสตัวร้าย


ดังนั้นการดูการ์ตูน อ่านนิทานหรือเทพนิยาย ก็ทำให้เราได้คำศัพท์เพิ่มขึ้นนะคะ แต่อย่าลืมว่าถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นก็เน้นเป็นภาคภาษาอังกฤษดีกว่า เพราะจะทำให้ได้ฝึก reading และ listening มากกว่าแบบภาคภาษาไทยนะคะ และนอกจากนี้เราก็จะได้ซึมซับ grammar และการใช้คำไปเองแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องมานั่งท่องเลยค่ะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

References:
1. English-English Oxford Dictionary
2. Wikipedia
3. http://www.rebellesociety.com/2012/10/11/the-writers-way-week-two-facing-procrastination/chronos_oeuvre_grand1/
4. http://the-mask.wikia.com/wiki/Dr._Amelia_Chronos

Wednesday, June 26, 2013

เรียนภาษาอังกฤษจากการอ่านไปเรื่อย(เปื่อย)


สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษจากการอ่านไปเรื่อยเปื่อยนะคะ สมัยนี้ข่าวสารอะไรๆก็ไปได้ทั่วถึงหมดเพราะเรามีโซเชียลมีเดียที่พร้อมจะนำเสนอข้อมูลอะไรให้เรามากมาย ยกตัวอย่างเมื่อเช้านี้นุชก็เข้า Facebook ไปเช็คข้อมูลข่าวสารไปเรื่อย ก็ไปเจอกับบทความหนึ่งที่เป็นบทความตลกเชิงเสียดสีเกี่ยวกับอาชีพของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (Flight Attendant หรือ Cabin Crew หรืออาจะรู้จักในชื่อ stewards/stewardesses หรือ air hosts/hostesses)

พออ่านบทความจบก็สังเกตเห็นว่า มีส่วนที่เป็นเว็บลิงค์ไปยังอีกเว็บหนึ่งที่ขึ้นหัวข้อว่า Stars without Makeup พร้อมกับโชว์หน้าดารานักร้องสาวนางหนึ่ง ซึ่งเราก็อยากจะเห็นรูป เพราะรู้สึกว่านักร้องคนนี้เป็นคนที่ ถ้าไม่แต่งหน้าก็ไม่ขี้ริ้วอะไร ว่าแล้วก็ต้านทานความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว ก็เลยคลิกเข้าไป

ทีนี้เราก็เข้าไปดูรูปแล้วก็เลื่อนลงมาอ่านคอมเม้นท์ข้างล่างก็พบว่ามีคน [ฝรั่ง] คนหนึ่ง  ต่อว่านักร้องสาวนางนี้ว่าไม่ชอบการร้องเพลงของเธอเลย ทั้งการร้องสดและการลิปซิงค์ เอาล่ะสิ งานนี้เราดันเจออะไรที่ไม่คาดฝัน ไม่ใช่ว่าโมโหแทนหรืออะไรนะคะ คืออย่างนี้ค่ะ ตาฝรั่งคนนี้เขียนคำว่า ลิปซิงค์ เป็น lip synch ซึ่งตามที่เราเข้าใจตอนแรก ก็คิดว่ามันน่าจะเขียนว่า lip sing(ing) แต่เอ...ทำไมเขาถึงเขียนอย่างนี้ล่ะ หรือว่ามันจะเป็นการแปรสภาพคำแบบเปลี่ยนบางตัวอักษรแต่เสียงยังคงเดิม (เช่นภาษาวัยรุ่นหรือพวกฮิปฮอปจะใช้คำว่า muzik แทน music โดยที่เป็นการเปลี่ยนตัวอักษร แต่การออกสียงยังคงเดิม ก็คงคล้ายๆกับภาษาวัยรุ่นคำว่า เธอ เขียนว่า เทอ อะไรทำนองนี้มั้งคะ) อย่างคำว่า synch อ่านออกเสียงก็คล้ายๆกับ sing อยู่นะ



ว่าแล้วด้วยความสงสัย ก็เลยวิ่งไปหาอากู๋ (Google) เผื่อว่าแกจะช่วยคลายความสงสัยลงได้ ทายสิคะเว็บแรกที่โชว์ข้อมูลเราแบบสะดุดตาคืออะไร ............... ถูกต้องค่ะ วิกิพีเดียค่ะ (ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ) พี่วิกี้นี่เป็นผู้มีพระคุณมากเลยค่ะ แกบอกเรามาเกินกว่าที่เราสงสัยอีกนะ เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า คำว่าลิปซิงค์ ฉบับเต็มๆก็คือ lip synchronization ดังนั้นถ้าจะเขียนให้ถูกต้องก็คือ Lip sync, lip-sync หรือ lip-synch ค่ะ ซึ่งคำว่า synchronize มีความหมายว่า ทำหรือเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ดังนั้นถ้าจะให้แปลความหมายก็ประมาณว่า เป็นการใช้ริมฝีปากไปพร้อมๆกับการเปิดเพลงหรือเสียงที่อัดไว้แล้วนั่นเอง

แต่ช้าก่อน!! พี่วิกกี้ไม่ได้ให้คำจำกัดความของการลิปซิงค์ไว้แค่การร้องเพลงที่เปิดไปพร้อมกับเสียงที่อัดไว้อยู่ก่อนแล้วนะคะ แต่คำนี้หมายความรวมไปถึง การเอาเสียงที่บันทึกไว้แล้ว มาเปิดทับวิดีโอหรือเทปบันทึกบางประเภท เช่น การพากษ์เสียงในหนัง (บางทีก็ใช้คำว่า dub) ซึ่งก็ทำให้เราได้รับความรู้เพิ่มเติมว่า ลิปซิงค์หรือการพากษ์มีหลายแบบ แบบที่พากษ์เสียงภาษาเราทับเสียงภาษาเดิม (Original Soundtrack) หรือหนังจำพวก musical ก็จะมาลิปซิงค์หรือมาใส่เพลงที่ร้องทีหลังให้เข้ากับปากนักแสดงในเทปที่อัดไปแล้ว ซึ่งขั้นตอนนี้ทำตอนบันทึกหนังเสร็จแล้ว (ก็แน่ล่ะสิ!!) แต่ถ้าเป็นแบบหนังแอนนิเมชั่น จะพากษ์เสียงก่อนที่เค้าจะสร้างตัวละครโดยใช้กราฟฟิก (เพราะต้องมีการวาดปากให้ขยับตรงกับคำพูดที่พูดออกมา) ซึ่งการลิปซิงค์แบบนี้ก็ใช้กับการสร้างเกมส์ด้วยนะ

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการร้องเพลง หลายคนไม่ชอบการลิปซิงค์นะ ซึ่งเราก็(เคย)เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เพราะรู้สึกว่าเหมือนโดนหลอก แต่แล้วพี่วิกกี้ก็ทำให้เราได้เห็นมุมมองอื่นมากขึ้นว่า บางทีนักร้องก็มีเหตุผลในการลิปซิงค์นะ บางคนต้องเต้นไปร้องไป ถ้ามัวแต่ร้องสด คนดูอาจจะทนกับเสียงหอบแฮ่กๆไม่ไหวก็ได้ หรือบางคนป่วยหรือร่างกายไม่เอื้ออำนวยจริงๆ ประมาณว่าถ้าร้องสด เสียงอาจจะสยองก็ได้ ก็เลยจำเป็นต้องลิปซิงค์ หรือบางทีถ้าไปออกรายการทีวี เค้าจะขอให้ลิปซิงค์แทนการร้องสด เพราะไม่ต้องใช้เวลาในการซ้อมนักดนตรีก่อนอัดเทปนานนัก

พูดไปพูดมา ชักจะออกอ่าวไทยไปแล้วค่ะ >.< เอาเป็นว่าถ้าอยากจะบอกว่านักร้องคนนี้ไม่ได้ร้องสด ก็ใช้คำว่า lip synch ย่อๆก็ได้ หรือจะใช้อีกคำว่า mime (คำนามคือ miming ค่ะ) หรือ dub ก็ใกล้เคียงค่ะ

ตอนหน้าเราจะพูดกันถึงคำว่า synchronize ค่ะ ว่าทำไมเขียนยากและยาวจัง มันมีที่มาอย่างไร รอติดตามกันนะคะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

ขอบคุณ Wikipedia สำหรับข้อมูลและรูปจาก http://stocktoons.com/design/stock-cartoon-of-a-man-in-a-blue-suit-singing-by-ron-leishman-1626

Friday, June 21, 2013

เรียนภาษาอังกฤษจากความไม่รู้ (ที่ฮาโดยบังเอิญ)

ครั้งหนึ่งนุชได้มีโอกาสร่วมงานกับคนอเมริกัน ทำให้เราได้มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกัน มีอยู่วันหนึ่งช่วงที่งานไม่ค่อยยุ่ง เราจะไปเข้าห้องน้ำ ก็เลยฝากเพื่อนร่วมงานดูแลงานให้แทน เผื่อว่ามีลูกค้ามาหรือมีอะไรด่วน ซึ่งเราก็ฝากงานเค้า แล้วบอกว่า   “I’ll go to the toilet.”         ฝรั่งมะกันมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา เราก็งงว่ามีอะไรหรอ เค้าก็เลยหันมาบอกว่า “You go to the toilet?” แล้วก็ฮากันต่อ สักพักนึงเค้าเลยหันมาอธิบายว่า ไอ้เจ้า toilet เนี่ยหมายถึง ....... (เค้าทำมือสองข้างกวาดเป็นรูปวงรีให้ดูค่ะ) แหมดูซิ ท่าทางการอธิบาย บอกเป็นคำพูดก็ได้นะ    ฮ่าๆๆ


ตอนนั้นเราก็งงว่า อ้าว ที่เราเรียนมาคือแบบ “I want to go to the toilet.” นี่นา มันผิดหรอ หลังจากรวบรวมสติได้แล้วก็กลับมานั่งพินิจพิเคราะห์ ก็เลยสรุปได้ว่า “I want to go to the toilet.” เนี่ย เป็นภาษาอังกฤษที่ใช้กับคนอังกฤษ (British English) คนอเมริกันไม่ใช้ค่ะ ซึ่งถ้าดูให้ดีแล้วอย่างฝรั่งเศสก็ใช้คำว่า “les toilettes” เหมือนกัน(ก็เค้าเป็นโซนยุโรปเก่าแก่เหมือนกันนี่เนอะ) สรุปก็คือ ถ้าจะสื่อว่าเป็น”ห้องน้ำ” สำหรับคนอังกฤษ ก็ใช้ toilet ได้ แต่ถ้าพูดกับคนอเมริกัน เค้าจะนึกว่าพูดถึงชักโครกค่ะ




ทีนี้ถ้าเราจะพูดถึงห้องน้ำกับคนอเมริกัน ก็ใช้คำว่า “restroom” หรือ “bathroom” แรกๆเราก็พอเข้าใจนะ แต่พอมานึกอีกทีก็เริ่มงงอีกแล้วว่า bathroom มันไม่ได้หมายถึงห้องอาบน้ำหรอ (แบบอาบน้ำอย่างเดียวน่ะ) ก็เราท่องมาแบบนี้หนิ bath = อาบ   room = ห้อง นี่นา แต่คนอเมริกันใช้ bathroom สำหรับห้องสุขาทั่วไปเลยโดยไม่จำกัดว่าจะว่าเป็นห้องสำหรับอาบน้ำค่ะ



สรุปนะคะ ห้องน้ำอาบน้ำของคนอังกฤษจะเรียกว่า bathroom แต่บางบ้านอาจจะมีการแยกชักโครกไว้เป็นอีกห้องหนึ่ง ซึ่งห้องนี้(หรือห้องสุขาไหนๆที่ไม่มีอ่างอาบน้ำ)จะเรียกว่า toilet ซึ่ง toilet นี้ก็แปลว่าชักโครกเช่นกันค่ะ ส่วนคนอเมริกันจะเรียกห้องสุขาว่า restroom หรือ bathroom แต่ถ้าพูดว่า toilet ก็หมายความถึงชักโครกอย่างเดียวค่ะ ซึ่งคนอเมริกันโดยทั่วไปก็ใช้ทั้ง restroom และ bathroom นะคะ หากใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามรถเข้าไปดูได้ในนี้เลยค่ะ http://en.wikipedia.org/wiki/Public_toilet



ขอทิ้งท้ายนิดนึงจากสิ่งที่สังเกตมาละกันนะคะ   จริงๆคนไทยเก่งนะ          รู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเยอะ  แต่การที่เรารู้คำศัพท์เยอะนี่แหละ มันทำให้เราตีมั่วกันไปหมดเลย ทั้งอังกฤษแบบอังกฤษ (British English) และอังกฤษแบบอเมริกัน (American English)   ที่เป็นอย่างนี้ก็อาจเป็นเพราะ ประเทศเราไม่เป็นเมืองขึ้นของใคร เราเรียนรู้เอง องค์ความรู้จากทั้งสองประเทศ(และที่อื่นๆ)เลยหลั่งไหลเข้ามา ทำให้เรารู้คำศัพท์หมด (แต่แอบปนกัน) แต่ยังไงก็ตามคนไทยเรียนรู้ได้เองโดยยังคงความเป็นเอกราชอยู่ (ในขณะที่ประเทศเพือนบ้านบางประเทศมีการใช้ภาษาอังกฤษไปในแนว British English เนื่องจากเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ) ไทยเราได้ขนาดนี้ก็สุดยอดแล้ว เราเก่งภาษาอังกฤษกว่าบางประเทศที่เค้าพัฒนากว่าเราอีกนะ (และหลายประเทศที่เป็นเอกราชและมีความเป็นชาตินิยมแต่ไม่เรียนรู้ภาษาปะกิด) รู้อย่างนี้แล้วประเทศเราควรจะภูมิใจและอย่ารีรอที่จะพัฒนาภาษานะคะ ประเทศเราให้โอกาสในการเรียนรู้ภาษาตั้งมากมาย แต่อยู่ที่เราว่าจะไขว่คว้าหรือเปล่าเท่านั้นเอง



กลับมาที่หัวข้อสักเล็กน้อย บางทีความไม่รู้ก็ทำให้เราได้ความรู้เพิ่มขึ้นมานะคะ อย่างกรณีนี้ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าคำว่าห้องน้ำมีใช้ต่างกันด้วยหรือ แต่ความไม่รู้ก็เป็นบ่อเกิดให้เราไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจนรู้ว่ามันมีการใช้แตกต่างกันยังไง     สุดท้ายนี้ก็ต้องขอบคุณ http://en.wikipedia.org/wiki/ สำหรับการเป็นแหล่งข้อมูลที่ทำให้บทความนี้สมบูรณ์มากขึ้นค่ะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

รูปจาก: http://amusingweb.blogspot.com/2012/01/funny-and-creative-toilet-signs.html
http://amarkedman.com/2011/09/09/day-317-part-2/toilet-sign/

Wednesday, June 12, 2013

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากสังเกต(นิดนึง)

สวัสดีค่ะ ห่างหายกันไปซักพักนึง พอดีงานยุ่งๆน่ะค่ะ  >.<

เอาเป็นว่าจะพยายามหาเวลาอัพบล็อกเป็นประจำละกันนะคะ


วันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องการสังเกตละกัน

บางทีการที่เราหัดสังเกตหรือสงสัยในสิ่งต่างๆรอบตัว ก็ทำให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้นได้นะคะ อย่างเช่น เวลาไปไหนมาไหนแล้วเห็นป้ายโฆษณาที่มีภาษาอังกฤษกำกับ ก็ลองดูสิคะ ว่ามีคำศัพท์ไหนที่เราไม่รู้บ้าง แล้วเราพอจะเดาความหมายได้หรือเปล่า ถ้าเดาไม่ได้ ก็จำหรือจดไปเปิด dictionary เราก็จะรู้คำศัพท์ใหม่เพิ่มนะคะ

เมื่อเช้าฟังรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ก็ได้ยินข่าวการฆาตกรรมนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ก็มีการสอบสวนผู้ต้องหา ซึ่งเป็นคนขับรถของนักธุรกิจคนนี้ ฟังบทสนทนาการสอบสวนแล้วก็ต้องมาตัดสินกันอีกที ว่าคำให้การเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทีนี้ก็นึกขึ้นได้ถึงข้อแตกต่างระหว่างการพูดจริงกับพูดโกหกค่ะ


ความจริงจะมีเพียงแค่เรื่องเดียว แต่หากเราเริ่มต้นโกหก ก็อาจจะต้องสร้างเรื่องอื่นๆขึ้นมา เพื่อผูกเรื่องราวให้เรื่องที่เราหลอกดูเนียน เหมือนเป็นความจริง

ไม่ได้กำลังสอนสัจธรรมนะคะ แต่กำลังโยงเข้ากับเรื่องของภาษา

ฝรั่งเองก็คงมองเห็นจุดนี้ เลยมีการใช้คำว่า tell the truth และ tell a lie ค่ะ

สังเกตมั๊ยคะว่า tell THE truth คำว่า "the" จะใช้สำหรับอะไรที่เน้นหรือมีอันเดียว ดังนั้นการที่ใช้คำว่า tell the truth ก็หมายความว่า คนๆนั้นบอกความจริง (ซึ่งเป็นความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว)

ส่วนคำว่า tell A lie มีการใช้ "a" ซึ่ง a มีไว้ใช้สำหรับอะไรทั่วๆไป หรือไม่ได้มีแค่สิ่งเดียว ก็บอกเป็นนัยได้ว่า การโกหกเรื่องใดเรื่อง อาจจะนำไปสู่เรื่องอื่นๆ(อีกมากมาย)ได้ ดังนั้นถ้ามีการโกหกแบบหลายเรื่องก็อาจจะใช้ tell lies ได้

นี่แหละค่ะ ที่บางคนถึงพูดว่า การโกหก จริงๆเหนื่อยนะ ต้องคอยสร้างเรื่องอยู่ตลอดเวลา พูดความจริงสบายกว่าเยอะ

พูดไปพูดมา นอกเรื่องซะงั้น 5555

เอาล่ะ แต่บางทีถ้าอยากจะเน้นย้ำว่าเรื่องโกหกเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ใช้ tell the lie ได้นะ แต่โดยทั่วไปจะเห็น tell a lie มากกว่าค่ะ

สรุปก็คือ a/an (หรือถ้าเป็นพหูพจน์ก็ไม่ต้องใส่ article) นำหน้าคำนามที่ไม่เฉพาะเจาะจง หรือไม่ได้มีแค่สิ่งเดียว ส่วน the จะใช้นำหน้าสิ่งที่เราเน้นหรือมีอันเดียวนะคะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

รูปจาก http://visalakshiramani.wordpress.com/articles/miraculous-mind/when-we-tell-lies/