Translate

Friday, August 23, 2013

เรียนสำนวนภาษาและคำศัพท์จากเพลง

ดั้งเดิมเป็นคนชอบฟังเพลงร็อคค่ะ ซึ่งเพลงร็อคหลายเพลงก็มีเนื้อหาไปในทำนองบอกเลิก/อกหักรักคุด/โดนทิ้ง อะไรแนวนี้ ซึ่งบางทีเนื้อหาอาจจะไม่ได้ตรงกับชีวิตเราเท่าไหร่ แต่ฟังแล้วเพลินดี (ทำนองมันโดนอ่ะค่ะ) ที่สำคัญนะ เราได้ซึมซับ (absorb) คำศัพท์และสำนวนภาษาไปด้วยนะ

เพลงหลายๆเพลงพอกล่าวถึงอดีต ว่าฉันนี่โง่จริงๆเลยที่(เคย)ไปรักเธอ หรืออย่ามาทำให้ฉันดูเป็นคนโง่เลย ก็จะเห็นคำพวก fool, stupid อยู่ในเนื้อร้อง เช่น Stop fooling around. หรือ Stop fooling me. หรือประมาณ Don't treat me like a fool. หรืออาจจะมีทำนองว่าตัวเองว่า stupid girl




ทีนี้ถ้ามาในแนวอกหัก ก็อาจจะเจอคำว่า broken ซึ่งคำนี้นอกจากจะใช้สำหรับความหมายว่า (อก)หัก แบบใน heart broken แล้ว ยังหมายถึง เศร้าเสียใจอีกด้วย เช่น I'm broken. หรือจะแปลว่า เลิกกัน ก็ได้ เช่น We broke up. (สังเกตว่ามี up ด้วย) มีอีกคำหนึ่งก็คือคำว่า torn ที่มีความหมายว่า ขาดออกจากกัน เช่น torn relationship ก็คือ ความสัมพันธ์ขาดสะบั้น คำนี้มีการใช้ในเพลงต่างๆ เช่น เพลง Torn ของ Natalie Imbruglia มีการใช้ว่า I'm torn. โดยปกติ torn (+ between) จะหมายความว่า ลังเล ไม่รู้ว่าจะเลือกทางเลือกไหนดี แต่ในกรณีนี้ อาจแปลได้ว่า I'm broken. หรือ I'm undecided. แนวว่าฉันไม่สามารถตัดสินใจที่จะเลือกได้ (ว่าจะรักเธอหรือจะเลิกกับเธอดี)

ทีนี้บางเพลงก็จะสื่อไปในทำนองว่า เธอหักหลังฉัน หรือเธอปั่นหัวฉัน ก็อาจจะเจอคำว่า "play" ปรากฏอยู่ แม้ว่าโดยปกติ play จะหมายถึงเล่นทั่วๆไป เช่นเล่นกีฬา เล่นเกม แต่ในความหมายนี้ เป็นการเล่นที่ต่างออกไปค่ะ เช่น You played me. เธอปั่นหัวฉัน (สังเกตว่าเป็นอดีต เพราะเปรียบเพลงเหมือนกับการเล่าเรื่องราวในอดีต - ตอนที่ฉันยังตาไม่สว่าง อิอิ) หรืออย่าง Don't play with my heart. (อย่าล้อเล่นกับหัวใจฉัน) บางทีก็อาจเป็น Don't play with the feeling. (อย่าเล่นกับความรู้สึก) เหมือนที่ท่านกวีเชคสเปียร์เคยกล่าวไว้ว่า



อย่าไปเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นเลยค่ะ เพราะเราอาจจะได้ใจเขามา แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราจะสูญเสียคน(ที่สำคัญ)คนนี้ไปตลอดชีวิต

บางทีนอกจากจะใช้ play อาจจะมีการใช้คำอื่นเพื่อสื่อว่า โกหก หลอกลวง อย่าง lie มีเพลงนึงชื่อว่า Your love is a lie. หรืออย่างบางทีก็ใช้ว่า You're a liar. หรืออาจจะใช้คำว่า "pretend" ก็ได้

เพลงบางเพลงก็พูดทำนองว่า ฉันรู้สึกเศร้า หม่นหมองจังเลย ถ้าใช้ I'm sad. ตรงๆก็ดูจะเชยเกินไป (อันนี้คิดเอาเองนะคะ) ก็ต้องสำบัดสำนวนหน่อย ใช้ว่า I feel blue. ดูมีราศีขึ้นเป็นกอง หรือ I'm down. ก็ใช้ได้เลย

บางทีเพลงประเภทนี้ก็จะบอกว่า เรื่องระหว่างเรามันเป็นอดีตไปแล้วนะ tense ต่างๆที่่ใช้บอกเล่าเรื่องราวจึงเป็น Past tense เช่น You were all the things I thought I knew...We were meant to  be, supposed to be, but we lost it. ในเพลง My happy ending ของ Avril Lavigne บางทีก็บอกเพิ่มเติมด้วยว่า มันสายไปแล้วนะ It's too late.




เห็นไหมคะว่าคำๆนึง อาจจะมีความหมายมากกว่าหนึ่งความหมายอย่างที่เราท่องจำกันในสมัยเด็กๆก็ได้ ถ้าเราเสพสื่อ (ขออนุญาตใช้คำนี้นะ) ต่างๆ ก็จะทำให้เราเข้าใจภาษาที่ native speaker พูดกันแบบเป็นธรรมชาติมากขึ้น บางที dictionary แปลอังกฤษเป็นไทยยังไม่มีเลย เราจะเรียนภาษาได้ชำนาญก็ต้องมาจากการขวนขวายเอาเอง ซึ่งการได้จากเพลงก็น่าจะเป็นวิธีการเรียนภาษาที่สนุกไปอีกแบบนะคะ ใครชอบฟังเพลงแนวอะไร ก็ฟังแนวนั้นตามที่เราชอบ ไม่จำเป็นต้องมาฟังเพลงร็อคก็ได้นะ อิอิ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

อ้างอิง
www.cheezburger.com
www.idlehearts.com/
www.youtube.com

Wednesday, August 14, 2013

เรียน Grammar จาก Quote

เนื่องด้วยเป็นคนที่ชอบอ่าน quote หรือคำพูดของคนอื่น (ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดี) อยู่บ่อยๆ ก็เลยทำให้เล็งเห็นว่า นอกจากจะได้ข้อคิด ปรัชญาแล้ว เรายังได้หลักการใช้ภาษา (หรือไวยากรณ์) มาเป็นของแถมด้วยนะ ทำให้เราไม่ต้องไปนั่งท่องตำราที่น่าเบื่อเพื่อให้ได้ความรู้นะ

แน่นอนว่าเราจะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆจากการอ่าน quote แต่ที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือ เราจะได้ซึมซับหลักไวยากรณ์ไปในตัว (ขออนุญาตใช้ภาษาไทยสำหรับคำศัพท์ที่มีในภาษาไทยแล้ว) เวลาที่เราจะใช้พูดหรือเขียนมันก็จะออกมาเป็นธรรมชาติเอง



เริ่มกันที่รูปภาพนี้ละกัน ประโยคหลัก(ใจความสำคัญ) คือ And those were thought to be insane by those. (คนกลุ่มหนึ่งถูกคิดหรือมองว่าเป็นคนบ้าโดยคนอีกกลุ่มหนึ่ง หรือแปลง่ายๆก็คือ คนกลุ่มหนึ่งมองว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นบ้า) และประโยคหลักก็มีส่วนขยายอีกสองประโยคคือ ประโยคส่วนขยายแรก who were seen dancing ซึ่ง who ในที่นี้หมายถึงคนกลุ่มแรกที่ถูกตัดสิน(ว่าเป็นคนบ้า) จากการเต้นร้องรำทำเพลงและประโยคส่วนขยายอีกประโยคคือ who could not hear the music ก็หมายถึงคนกลุ่มที่สอง ที่มองกลุ่มแรกว่าเป็นคนบ้า ซึ่งคนกลุ่มที่สองนี้เป็นคนกลุ่มที่ไม่ได้ยินเสียงดนตรี หรือหมายความประมาณว่าเป็นพวกไม่มีดนตรีในหัวใจนั่นเองค่ะ

จะสังเกตเห็นว่า ถ้าเราอ่านประโยคทั้งประโยคไปรวดเดียว เราอาจจะงงได้ง่ายๆ แต่ถ้าเรามาลองวิเคราะห์ดูว่าประโยคนั้น สามารถแยกย่อยออกมา เป็นประโยคใจความหลัก และประโยคย่อยได้อย่างไรบ้าง ก็จะทำให้เราเข้าใจความหมายมากขึ้นค่ะ เและถ้าเราได้อ่าน quote บ่อยๆ เราก็จะฝึกทักษะการอ่านแบบวิเคราะห์และจับใจความไปได้เอง



ทีนี้มาดูเรื่อง Tense กันบ้าง ดูประโยคหลักก่อน I am who I am today. สังเกตว่าประโยคนี้กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบัน เลยใช้ Present Tense ตรงคำว่า I am และ who I am สังเกตว่า คำว่า today ก็ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าเป็นปัจจุบัน แต่ในส่วนเติมเต็มประโยคด้านหลังที่บอกว่า because of the choices I made yesterday สังเกตว่า เขาใช้คำว่า I made (กริยาช่อง 2 ของ make) เนื่องจากในจะสื่อว่าเป็นการตัดสินใจในอดีต (yesterday) ดังนั้นประโยคนี้ประกอบด้วย 2 tenses ก็คือ ฉันเป็นฉันได้ทุกวันนี้(ปัจจุบัน) ก็เป็นผลมาจากสิ่งที่ฉันเลือกเมื่อวานนี้(อดีต)



ทีนี้หลายคนพอเจอข้อความนี้อาจจะงง ว่าทำไมมีคำว่า yesterday แต่ใช้คำว่า is ไม่ใช้ was แล้วทำไมมีคำว่า tomorrow แล้วดันใช้ is ไม่ใช้ will be เอาล่ะ ก่อนอื่น เราเข้าใจหรือเปล่าว่า ทำไม yesterday ถึงจะต้องใช้ was และ tomorrow จะต้องใช้ will be คืออย่างนี้ค่ะ การเปลี่ยนกริยาเป็นช่อง 2 หรือเติม will จะทำเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น ณ เวลานั้น อย่างรูปก่อนหน้านี้ที่บอกว่า I made (the choices) yesterday. ก็คือ ฉันตัดสินใจเมื่อวานนี้ หรือ I will go to see the movie tomorrow. ก็คือฉันจะไปดูหนังพรุ่งนี้ ซึ่งกริยาสื่อว่าทำอะไรในช่วงเวลาไหน

แต่อย่างในกรณีนี้ Yesterday is history. ความหมายคือเมื่อวานนี้เป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ได้สื่อว่าเป็นการกระทำของเมื่อวานนี้ แต่ประโยคนี้เป็นข้อเท็จจริงว่า เมื่อวานเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์(หรือเหตุการณ์ที่ย้อนกลับมาไม่ได้แล้ว) ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ ก็ยังมีเมื่อวานอยู่ ดังนั้นมันไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วจบ แต่เป็นความจริงที่ว่า ไม่ว่าจะวันไหน เราก็ยังมีเมื่อวานเสมอ สำหรับประโยค Tomorrow is a mystery. ก็เช่นกัน ประโยคนี้ไม่ได้บอกว่าใครจะทำอะไรในอนาคต แต่บอกความจริง ว่าวันพรุ่งนี้ยังคงเป็นเรื่องปริศนา (ที่ยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไร)  เมื่อเป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่ว่าจะวันไหนๆ ก็มีวันพรุ่งนี้อยู่เสมอ จึงใช้คำว่า is  




มาที่เรื่องจำนวนกันบ้าง คำว่า every ที่แปลว่าทุกๆ สื่อความหมายว่า แต่ละอัน/แต่ละสิ่ง ซึ่งก็แสดงถึงความเป็นเอกพจน์ และโดยปกติก็จะใช้กับนามเอกพจน์เช่น every single man เหมือนคำพูดข้างบนนี้ที่ใช้ Everybody is a genius. แต่ทีนี้ลองสังเกตคำพูดข้างล่างดูสิคะว่าทำไม every ถึงใช้กับพหูพจน์อย่าง sixty seconds
โดยปกติจำนวนโดยตัวของมันเอง ก็จะบอกว่าเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ เช่น I have three dogs. They are playing with my children. ก็คือจะบอกว่า ฉันมีสุนัขสามตัว พวกมันกำลังเล่นกับลูกของฉันอยู่ สังเกตว่าเป็นพหูพจน์ จึงใช้คำว่า they are ซึ่งโดยปกติก็จะเป็นเช่นนี้ แต่ใน quote ด้านบน every sixty seconds ในกรณีนี้ วินาทีทั้ง 60 ถูกเหมารวมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน (ต้องมี 60 วินาที ถึงจะประกอบกันเป็นหนึ่งนาที) จึงใช้คำว่า is ไม่ใช่ are กรณีเช่นนี้ เราอาจจะพบเห็นได้ทั่วไป เช่นเมนูอาหาร bacon and eggs ที่ดูเหมือนจะเป็นพหูพจน์ แต่จริงๆแล้วถ้าจะพูดว่าเป็นเมนูอาหาร(จานเดียวกัน) ก็จะใช้เป็นเอกพจน์ เช่น  Bacon and eggs is a popular breakfast meal in many countries. เพราะในกรณีนี้ เราหมายความเป็นกลุ่มก้อนค่ะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

ขอบคุณรูปภาพจาก
1. http://vasare.wordpress.com/2012/06/26/good-summer-vibes-photo-diary-part-1/
2. http://www.tattoodonkey.com/kushandwizdom-kush-and-wizdom-quote-quotes-tattoo/leblogdelalingerie.com*wp-content*uploads*kush-and-wizdom-tumblr-quotes-517.jpg/
3. http://www.wordsonimages.com/photo?id=54796-John+irving+famous+quotes+4
4. http://inspirationboost.com/yesterday-is-history
5. http://riotlainie.buzznet.com/photos/qotw/?id=60105591
6. http://kootation.com/rumi-quote-jpeg.html

Thursday, August 1, 2013

ได้คำศัพท์จากเครื่องสำอาง

เนื่องด้วยเห็นเครื่องสำอางที่บ้านที่มีมากมาย เลยทำให้เกิดไอเดียในการเขียนบล็อกครั้งนี้ค่ะ

เอาล่ะ ก่อนอื่นขอกล่าวถึงคำว่า"เครื่องสำอาง" สักหน่อยละกัน คำนี้สะกดโดยไม่มี "ค์" นะคะ เห็นคนเขียนกันบ่อย (อ้างอิงจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน) บอกไว้ก่อนเป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆละกันเนอะ

เวลาไปเดินตามห้าง จะพบเครื่องสำอางบางยี่ห้อระบุว่าเป็นสูตรธรรมชาติ ซึ่งเค้าใช้คำว่า Botanic เคยเห็นกันบ้างหรือเปล่าคะ

คำว่า Botanic (adj.) มีความหมายว่า เกี่ยวกับพืช ก็คือเขาจะสื่อว่าเป็นเครื่องสำอางที่มีสารสกัดจากธรรมชาตินั่นแหละค่ะ




นอกจากนี้ถ้าเขียนเป็นคำนามคือ Botany ก็จะหมายถึงวิชาพฤกษศาสตร์ หรือวิชาที่ว่าด้วยเรื่องของต้นไม้นั่นเองค่ะ

แล้วพอเห็นคำเหล่านี้รู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนบ้างมั๊ยคะ.....เอาล่ะ จะบอกให้ละกัน ก็ลูกอมโบตัน ยาสีฟันคอลเกตไง อุ๊ย! ไม่ใช่ละ....ลูกอม Botan ก็เอามาจากคำนี้แหละค่ะ เพื่อสื่อว่ามาจากธรรมชาติค่ะ

พูดถึงพืชพรรณ ก็นึกถึงคำว่าสมุนไพร นั่นก็คือ Herb (n.) คำนี้จะบอกเจาะจงเลยว่าเป็นสมุนไพร ซึ่งเราก็คงเคยเจอคำนี้กับยี่ห้อแชมพูชื่อ Herbal Essences ไงล่ะ

คำว่า herb ก็เป็นคำตั้งต้นที่ทำให้เกิดคำใหม่ๆเพิ่มขึ้นนะคะ เช่น herbicide (ยาฆ่าวัชพืช) herbivore (สัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร) เป็นต้น

นอกจากนี้ คำว่าพืชก็มีคำที่ขึ้นต้นว่า veg-   อย่างเช่นคำว่า vegetable (พืชผัก) vegetarian หรือบางทีก็เรียก vegan (มังสวิรัติ) veggie (ผักหรือเกี่ยวกับผัก) เคยเห็น Tipco Veggie รึเปล่าเอ่ย

อีกคำที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก็คือคำว่า plant ที่แปลว่าพืชหรือเพาะปลูกก็ได้ ซึ่งถ้าเติมคำนำหน้า (prefix) คำว่า im- ลงไป ก็จะได้คำว่า implant ซึ่งแปลว่า ปลูกฝัง(นิสัย) หรือปลูกฝัง(ทางการแพทย์ เช่น ปลูกรากเทียมเพื่อใส่ฟันปลอม) แปลเป็นไทยก็มีคำว่าปลูกเป็นรากศัพท์นั่นเองค่ะ

เอาล่ะวันนี้ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ละกัน เวลาใช้เครื่องสำอางหรือเวลาที่ไปเดินห้าง ก็อย่าลืมสังเกตฉลากผลิตภัณฑ์ อาจจะได้คำศัพท์เพิ่มขึ้นมาด้วยนะคะ

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามและติดตามเราได้ทาง Facebook ที่ชื่อว่าKnowledge Is All Around  (https://www.facebook.com/knowledgeisallaround) นะคะ

ขอบคุณรูปจาก http://fr.wikipedia.org/wiki/Fichier:Botanic.png